ทั้ง BMW และ Toyota ถือว่าเป็นสองแบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์เจ้าใหญ่ของโลกที่กำลังตั้งใจมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน (Hydrogen Fuel Cells) ที่ทาง BMW ตั้งเป้าปล่อย BMW iX5 Hydrogen ภายในปี 2023 มาดูกันว่าปัจจุบันทางผู้ผลิตเยอรมันสามารถพัฒนาโฮโดรเจนไปถึงขั้นไหนแล้ว
BMW ย้ายไปโฟกัสไฮโดรเจนแทน พร้อมสัญญาเปิดตัว iX5 Hydrogen ภายใน 2030BMW ย้ายไปโฟกัสไฮโดรเจนแทน พร้อมเตรียมส่ง iX5 Hydrogen ภายใน 2030
Oliver Zipse ประธานผู้บริหาร BMW Group กล่าวว่า “ไฮโดรเจนยังคงขาดการแก้ปัญหาอยู่บางส่วน เพื่อที่จะก้าวเข้ามาเป็นรถยนต์ทางเลือกใหม่ที่ไร้ซึ่งมลพิษ เพราะการมีเทคโนโลยีเดียวอย่างรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อาจจะไม่เพียงพอกับสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก ที่จะช่วยกันลดภาวะโลกร้อนได้อย่างยั่งยืน” คำพูดถูกกล่าวไว้ในช่วงงานเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฮโดรเจนของ BMW ในปี 2023
การให้คำมั่นสัญญาในการผลิตพลังงานไฮโดรเจนในอุตสาหกรรมยานยนต์ถือว่ามีมานานกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว และดูเหมือนว่าจะเป็นแหล่งพลังงานที่ใช้งานได้อย่างหลากหลาย จนในที่สุดเริ่มจะดูเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น และอาจจะใกล้ถึงช่วงเวลาของไฮโดรเจนแล้วก็ว่าได้
เพื่อที่จะเคลมว่าการพัฒนานี้อยู่เหนือกว่าคู่แข่งในรุ่นเดียวกันอย่างแบรนด์จากเกาหลีและญี่ปุ่น BMW iX5 Hydrogen คอนเซปคันนี้สะท้อนให้เห็นถึงคำมั่นสัญญาที่จะดำเนินอย่างยั่งยืนในเรื่องของรถยนต์พลังงานรักษ์โลก
BMW ได้นำรถยนต์คอนเซ็ป iX5 คันนี้วิ่งทดสอบในอุณหภูมิร้อนจัดที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในช่วงเดือนกันยายน อุณหภูมิประมาณ 45 องศา แม้ว่าจะถนนปกคลุมไปด้วยทราย ฝุ่น และหมอกจากทรายที่หนาจัด แต่รถยนต์ไฟฟ้าพลังงานไฮโดรเจนคันนี้ก็ผ่านการทดสอบได้อย่างไร้ที่ติ
ถือว่าโชคดีมากที่การนำรถยนต์ SUV หรูไปขับทดสอบที่ดูไบเป็นเรื่องปกติมาก ๆ ด้วยแพลตฟอร์มที่ดีของ X5 ทำให้สามารถขับได้อย่างสบายและเงียบสงบเหมือนกับ BMW ในรุ่นอื่น ๆ ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจเลยสำหรับการทดสอบครั้งนี้
เพราะฉะนั้นเตรียมพร้อมให้ดีสำหรับอนาคตใหม่ของ BMW ที่ให้หรูหราและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างลงตัว
สมถรรนะที่ขับเคลื่อนด้วย Passion
iX5 Hydrogen ถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ของ BMW ที่ได้พัฒนาขึ้นมาและจะถูกนำไปใช้ในไลน์อัพของ X5 ที่เหลือนั้นเอง
คอนเซ็ปของรถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนสามารถส่งพละกำลังได้ 170 แรงม้า (125 kW) ทำงานร่วมกับระบบขับเคลื่อนอย่างเทคโนโลนีเจนเนอร์เรชั่นที่ 5 อย่าง BMW eDrive คือ ระบบมอเตอร์ไฟฟ้า ชุดเกียร์และพลังงานไฟฟ้าที่ทำงานในชุดเดียวกัน
หากทำงานร่วมกันทั้งหมดในการขับขี่จะสามารถส่งพละกำลังได้สูงสุด 401 แรงม้า (295 kW)
ถ้า kick down หรือกระทืบคันเร่งสุดใน BMW iX5 Hydrogen จะสามารถทะยานจากความเร็ว 0-100 กม./ชม. ภายใน 6 วินาที ถือว่าเร็วและคล่องตัวเหมือนกับรถยนต์คันอื่น ๆ ใน BMW
ด้วยพลังงานไฮโดรเจนนี้จะปล่อยม้าเหล่านี้ออกมาด้วยความเงียบสงบ ให้สมรรถนะที่ดีแบบไม่ต้องพยายาม อีกทั้งยังไม่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้การขับขี่เป็นไปอย่างสุนทรีย์
การเบรคก็ถือว่าทำได้อย่างง่ายดาย เหมือนกับการทำงานของการ regenerative brakes ในรถยนต์ไฟฟ้า เพียงทำการยกเท้าออกจากคันเร่งก็จะสามารถลดความรถของตัวรถลง
นอกจากเสียงของการทำงานเซลล์เชื้อเพลิง BMW iX5 Hydrogen เราก็สามารถคาดหวังการขับขี่ที่ดีได้เช่นเดียวกันกับรถยนต์ไฟฟ้า ที่ขับขี่ได้อย่างเรียบเนียน เงียบ และไร้รอยต่อ
BMW iX5 Hydrogen ไฮโดนเจนนี้ได้ถังคู่พร้อมแรงดัน 700 บาร์ ตัวถังทำมาจากพลาสติกเสริมคาร์บอนไฟเบอร์
น้ำหนักของถังไฮโดรเจนจะมีน้ำหนัประมาณ 6 กก. สามารถทำระยะที่วิ่งได้สูงสุด 504 กม. ด้วยพลังงานไฟฟ้าหากไฮโดเจนเต็มถัง
การออกแบบ
BMW iX5 Hydrogen คอนเซ็ปคันนี้จะถือว่าเป็นตัวอย่างแนวคิดของ SUV ที่ทาง BMW อยากจะให้เป็นในช่วง 10 ปีหน้านี้ที่มีความหรูหรา ประหยัด รักษ์โลก ด้วยวัสดุที่พรีเมียม เทคโนโลยีทันสมัยที่สุด และรายเอียดที่ตั้งใจที่สามารถสะท้อนรสนิยมของฝั่งอาหรับได้อย่างลงตัว
นี่ไม่ถือว่าเป็นรถยนต์พลังงานไฮโดรเจนธรรมดา เพราะ BMW iX5 จะมอบประสบการณ์ใหม่ที่ล้ำสมัยที่ตัวรถจะสามารถขับเคลื่อนได้อย่างไร้รอยต่อระหว่างล้อคู่หน้าและหลัง รวมถึงโหมดการขับขี่ ที่จะขึ้นอยู่กับอารมณ์ของผู้ขับขี่
การควบคุมตัวรถทำได้อย่างแม่นยำ และระบบแอร์สปริงทำงานกับช่วงล่างแบบแปรผันทำให้รถสามารถเคลื่อนตัวได้อย่างเรียบเนียนและสมดุลมาก
ขณะที่การออกแบบภายนอกและภายในมีจุดเด่นเหมือนเดิมตามแบบฉบับ BMW ในตระกูล i รวมไปถึงเทคโนโลยีการขับขี่เช่นกัน
กระจังหน้าแบบไตคู่เล่นเส้นสายภายใน ล้อแอโรไดนามิกขนาด 22 นิ้ว มาพร้อมขอบที่เล่นสีน้ําเงิน ซึ่งทําให้แตกต่างจากล้อคู่ทั่วไปอย่างเด่นชัด
โดดเด่นด้วยการตรา “Hydrogen Fuel Cell” ที่ขั้นประตู และหน้าปัดหลังพวงมาลัย
แนวคิด iX5 ได้กลายเป็นสัญญาณแห่งนวัตกรรม ผสมผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ากับตัวอย่างของความสง่างามของยานยนต์ได้อย่างลงตัว
ศักยภาพของไฮโดรเจน
เนื่องจากหลายคนลังเลเกี่ยวกับปัญหาในเรื่องระยะเวลาในการชาร์จของรถยนต์ไฟฟ้า แต่สำหรับไฮโดรเจนสามารถเปลี่ยนได้ไว ต้องขอบคุณเวลาในการเติมที่ทำได้รวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่สําคัญ เช่นเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้า คือการสร้างเครือข่ายสถานีเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจนเพื่อรองรับในอนาคตนั้นเอง
มาลุ้นกันครับว่าถ้าเป็นผู้ผลิตจากเยอรมันอย่าง BMW ลงมือมุ่งมั่นโฟกัสกับการทำไฮโดรเจนเอง จะสามารถทำออกมาได้ดีแค่ไหน และผลตอบรับจะออกมาเป็นอย่างไร ?
ที่มา : gulfbusiness