RÊVER เปิดตัวแบรนด์ DENZA รุกตลาดลักชัวรี NEV เต็มรูปแบบ พร้อมเปิดตัวรถรุ่นแรกด้วย DENZA D9 รถ MPV ไฟฟ้า นิยามใหม่ของความหรูหราผสานนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน
เปิดตัวแบรนด์ DENZA พร้อมรถรุ่นแรก DENZA D9 รถ MPV สุดหรู ราคาแนะนำเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท
1 พฤศจิกายน 2567 – บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด ภายใต้กลุ่มธุรกิจเรเว่ เปิดตัวแบรนด์ DENZA (เดนซ่า) ยนตรกรรมพลังงานใหม่ในกลุ่มธุรกิจ BYD ที่นำเสนอนิยามใหม่ของความหรูหราให้กับทุกการเดินทาง เจาะกลุ่มผู้บริโภคในตลาดระดับบนด้วยดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ เทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัยเหนือระดับ พร้อมขุมพลังของนวัตกรรมที่ตอกย้ำจุดยืนด้านความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างเสริมโลกที่ยั่งยืนให้กับทุกคน
พร้อมทั้งเปิดตัว DENZA D9 โมเดลแรกอย่างเป็นทางการสำหรับตลาดประเทศไทย รถตู้อเนกประสงค์ระดับลักชัวรี่ 7 ที่นั่ง (Luxury MPV) โดยประกาศราคาขายแนะนำ 2 รุ่นย่อย ได้แก่
- DENZA D9 Premium ราคา 1,999,900 บาท
- DENZA D9 Performance AWD ราคา 2,699,900 บาท
โดยเป็นราคาพิเศษเฉพาะผู้ที่จองตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 – 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567 และรับรถภายในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567 เท่านั้น
และสำหรับผู้ที่จองรถ DENZA D9 Performance AWD ภายในวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 และรับรถภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 จะได้รับโฮมชาร์จเจอร์ ABB พร้อมบริการติดตั้ง เพิ่มอีกด้วย
สเปคของ DENZA D9 Premium และ DENZA D9 Performance AWD
การออกแบบภายนอก
Denza D9 ออกแบบภายใต้แนวคิด DENZA π-Motion สะท้อนความโมเดิร์นและความหรูหราของแบรนด์ โดยผสานเทคโนโลยีและรูปลักษณ์ที่ทันสมัยเข้าด้วยกันอย่างลงตัว มาพร้อมด้านหน้าแบบ DENZA π-Motion ใช้แนวคิด Pi Motion (ไพร์ โมชั่น) นำเสนอความโมเดิร์นและความหรูหรา มาพร้อมไฟหน้ารูปแบบ Meteor Arrow และกระจังหน้าแบบฝนดาวตกสีเงิน
ด้านหลังไฟท้ายออกแบบด้วยแนวคิดฝนดาวตกแห่งกาลเวลา มาพร้อมกับประตูไฟฟ้าคู่สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ยกระดับความหรูหราและความสะดวกสบาย เสริมด้วยยางเก็บเสียงคุณภาพสูงเพื่อให้ห้องโดยสารเงียบสงบและมีความเป็นส่วนตัวตลอดการเดินทาง
ระบบไฟส่องสว่างรอบคัน ไฟหน้าและไฟท้ายแบบ LED มาพร้อมกับระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ,ไ ฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED, ระบบไฟเลี้ยวด้านหลังแบบ Sequential, ไฟเบรกบน ดวงที่ 3 แบบ LED
, ระบบช่วยควบคุมไฟสูงอัจฉริยะ (IHBC), ฟังก์ชันหน่วงเวลาการปิดไฟหน้า Follow-Me-Home, ระบบไฟส่องมุมอับสายตา LED เมื่อเปิดไฟเลี้ยงหรือหมุนพวงมาลัยเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ, แสงไฟตกแต่งช่องชาร์จไฟแบบมัลติคัลเลอร์
ข้อมูลขนาดตัวถัง
- ความยาว 5,250 มิลลิเมตร
- ความกว้าง 1,960 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,920 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ 3,110 มิลลิเมตร
- ระยะห่างของล้อ คู่หน้า/คู่หลัง 1,675/1,675 มิลลิเมตร
- รัศมีวงเลี้ยงแคบสุด 5.95 เมตร
- ความสูงใต้ท้องรถไม่รวมน้ำหนักบรรทุก 155 มิลลิเมตร
- ความสูงใต้ท้องรถรวมน้ำหนักบรรทุกสูงสุด 140 มิลลิเมตร
- ความจุสัมภาระด้านท้าย 410 ลิตร
- ความจุสัมภาระด้านท้ายสูงสุด 2,310 ลิตร
การออกแบบภายใน
ห้องโดยสารเพิ่มความหรูหราในการสัมผัสสำหรับรุ่น Performance AWD ด้วยเพดานห้องโดยสารบุด้วยหนังกลับแบบพรีเมียม และเพดานห้องโดยสารแบบผ้าในรุ่น Premium ประตูผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้าแบบผ่อนแรงปิด
ห้องโดยสารมาพร้อมกับซันรูฟพร้อมม่านบังแดดสำหรับห้องโดยสารด้านหน้า และ หลังคากระจกขนาด 1.1 ตารางเมตร พร้อมม่านบังแดดเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้าสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ระบบแสงไฟสร้างบรรยากาศแบบมัลติคัลเลอร์ พร้อมโหมดต่างๆ เพื่อปรับบรรยากาศห้องโดยสารให้มีความหรูหราเพิ่มมากยิ่งขึ้น
หน้าจอเรือนไมล์ผู้ขับขี่แบบ LCD ขนาด 10.25 นิ้ว แบบ 3 มิติ ระบบมัลติมีเดียเพื่อความบันเทิงภายในห้องโดยสาร ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอสัมผัสระบบมัลติมีเดียสำหรับผู้โดยสารด้านหน้าขนาด 15.6 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธ รวมถึงรองรับ Apple CarPlay® และ Android Auto™ แบบไร้สาย ระบบเครื่องเสียงพรีเมียมแบบ Hi-Fi Class Dynaudio พร้อมสำโพง 14 ตำแหน่ง
สำหรับรุ่น Performance AWD เสริมด้วยระบบแสดงผลบนกระจกหน้า ขนาด 12 นิ้ว (W-HUD) เพื่อประสบการณ์การขับขี่ที่สมบูรณ์แบบ
เบาะนั่งผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางพร้อมระบบพนักพิงดันหลังไฟฟ้า 4 ทิศทาง ระบบจดจำตำแหน่งที่นั่งเบาะคนขับ เบาะนั่งโดยสารแถวที่สอง ปรับไฟฟ้า 4 ทิศทางพร้อมระบบพนักพิงดันหลังไฟฟ้า 4 ทิศทาง โดยเบาะที่นั่งทั้งสองแถวมาพร้อมระบบนวดไฟฟ้าและระบบระบายอากาศ ระบบจดจำตำแหน่งเบาะนั่งโดยสารแถวที่สอง หน้าจอ LCD แบบมัลติฟังก์ชันบริเวณที่พักแขนแถวที่สองสำหรับควบคุมฟังก์ชันต่างๆ อย่างง่ายดาย
ทั้งนี้เบาะนั่งยังมาพร้อมกับพนักพิงศรีษะที่สามารถปรับระดับสูงต่ำ และการปรับทรงให้เข้ากับสรีระศรีษะได้ 2 ทิศทางสำหรับผู้โดยสารตอนหน้า และ ปรับทรงให้เข้ากับสรีระศรีษะ 4 ทิศทางสำหรับผู้โดยสารแถวที่สอง
ระบบตู้เย็นภายในรถยนต์ความจุ 7.5L ที่สามารถปรับช่วงองศาได้ตั้งแต่ -6 จนถึง 50 องศา และที่วางแก้วรอบคัน 12 ใบ ครอบคลุมทุกที่นั่ง
ระบบปรับอากาศแบบอิสระ 3 โซน – ผู้ขับขี่ ผู้โดยสารตอนหน้าและห้องโดยสารตอนหลัง พร้อมระบบกรองอากาศ IONIZER และระบบกรองฝุ่น PM2.5 แบบประสิทธิภาพสูง (CN95) ที่ชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย 3 จุด (กำลังสูงสุด 50W) ประกอบด้วย 1 จุดในห้องโดยสารตอนหน้า และ 2 จุด สำหรับเบาะนั่งผู้โดยสารแถวที่สอง
แพลตฟอร์ม
- e-Platform 3.0 ที่พัฒนาเฉพาะสำหรับรถพลังงานไฟฟ้าที่เป็นเอกสิทธิ์ของ BYD ที่มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนแบบ 8 in 1
- BYD Blade Battery ความจุแบตเตอรี่สูงสุด 103.36 กิโลวัตต์-ชั่วโมง
- ระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าสูงสุด ตามมาตรฐานการทดสอบ NEDC
- รุ่น Premium ระยะทางสูงสุด 600 กิโลเมตร (NEDC)
- รุ่น Performance AWD ระยะทางสูงสุด 580 กิโลเมตร (NEDC)
- แพลตฟอร์มช่วงล่างอัจฉริยะ DiSus-C สำหรับรุ่น Performance AWD เพื่อความเป็นที่สุดของความสบายระหว่างการโดยสาร
รุ่น Premium
- ขับเคลื่อนล้อหน้า กำลังรวม 230 kW
- แรงบิดสูงสุด 360 Nm
- อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 9.5 วินาที
- ระบบกันสะเทือน ด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท / ด้านหลังแบบมัลติลิงก์
- ดิสก์เบรกแบบมีช่องระบายอากาศทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
- ติดตั้งระบบกันสะเทือนปรับอัตโนมัติตามความเร็วแบบ FSD
- ชาร์จ AC สูงสุด 11 kW (3 เฟส)
- ชาร์จ DC แบบ CCS2 สูงสุด 166 kW
รุ่น Performance AWD
- ขับเคลื่อนสี่ล้อ กำลังรวม 275 kW
- แรงบิดสูงสุด 470 Nm
- อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 6.9 วินาที
- ระบบกันสะเทือน ด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท / ด้านหลังแบบมัลติลิงก์
- ดิสก์เบรกแบบมีช่องระบายอากาศทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
- ติดตั้งระบบกันสะเทือนอัจฉริยะ DiSus-C ครั้งแรก ที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของ BYD ในประเทศไทย
- ชาร์จ AC สูงสุด 11 kW (3 เฟส)
- ชาร์จ DC แบบ CCS2 สูงสุด 166 kW
การพัฒนาด้วยเทคโนโลยีระบบกันสะเทือนแบบแอคทีฟ
- ก้าวข้ามขีดจำกัดทางกลไกของระบบกันสะเทือนแบบพาสซีฟ เพื่อสัมผัสถึงระบบกันสะเทือนที่มีแรงอัดและแรงคืนตัวที่มีประสิทธิภาพ
- รองรับการปรับแต่งความแข็งกระด้างและความนุ่มนวลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อสัมผัสประสบการณ์ความสบายของการโดยสารตามที่คุณเลือก
- อัตราส่วนแรงอัดและแรงคืนตัวที่มีช่วงระยะของการอัดและคืนตัวที่มากกว่าระบบกันสะเทือนทั่วไปหลายเท่า
- ระบบตรวจสอบผ่านเซ็นเซอร์ตรวจจับการสั่นสะเทือนของการยุบและการคืนตัวของรถรวมถึงตรวจจับอาการของรถทั้งคัน โดยระบบควบคุมจะประมวลผลเพื่อควบคุม โซลินอยด์วาล์วผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของระบบกันสะเทือน เพื่อช่วยลดโอกาสเกิดปัญหาของการทรงตัวที่ไม่มีเสถียรภาพ ไม่ว่าจะเป็นการยุบตัวของตัวรถ การพลิกคว่ำ การเกิดแรงกระชากเมื่อเบรกหรือเหยียบคันเร่ง ซึ่งไม่เพียงส่งผลให้มีรถสามารถควบคุมให้มีความสบายในการโดยสารอย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเสริมประสิทธิภาพในการควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
ภาพรวมการเสริมประสิทธิภาพที่เด่นชัดมากยิ่งขึ้น
- ประสิทธิภาพด้านความสบาย: ระบบกันสะเทือนอิเล็กทรอนิกส์ ที่จะช่วยให้แรงหน่วงของระบบกันสะเทือนที่น้อยลง ที่จะช่วยเพิ่มให้ระหว่างการโดยสารสบายมากยิ่งขึ้น
- ประสิทธิภาพการควบคุม: ระบบกันสะเทือนแบบอิเล็กทรอนิกส์ ก็ยังสามารถสร้างแรงหน่วงที่มากกว่าเพื่อเสริมประสิทธิภาพในการควบคุมรถให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นจุดเด่นที่ระบบกันสะเทือนแบบแอคทีฟจะมีผลลัพธ์ที่แตกต่างและโดดเด่นกว่าระบบกันสะเทือนทั่วไปในท้องตลาดอย่างชัดเจน
ความสะดวกสบายและความปลอดภัย
- ครบครันทั้งระบบอำนวยความสะดวก ระบบความปลอดภัย และระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ มั่นใจได้ทุกการเดินทาง
เซ็นเซอร์ตรวจจับน้ำฝนพร้อมก้านปัดน้ำฝนแบบไร้โครงเหล็ก - สำหรับรุ่น Performance AWD กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติพร้อมกระจกมองหลังแบบสตรีมมิ่งกล้องมองภาพ (ติดตั้งในตัว)
แหล่งจ่ายไฟรอบคัน 7 จุด
- ช่องจ่ายไฟ 12V และ ช่อง USB – C และ USB – A อย่างละ 1 ตำแหน่ง สำหรับผู้โดยสารด้านหน้า
- ช่อง USB – C 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้โดยสารแถวที่สอง
- ช่อง USB – C 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้โดยสารแถวที่สาม
แบรนด์ DENZA ของ BYD
แบรนด์ DENZA ถือกำเนิดขึ้นในช่วงการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์พลังงานใหม่ โดยพัฒนาและขับเคลื่อน
โดยบีวายดีอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566 ซึ่งได้ปรับโครงสร้างภายในทำให้แบรนด์อยู่ภายใต้บีวายดี 100% โดยยังคงเน้นความโดดเด่นในการหลอมรวมเทคโนโลยีและความหรูหราเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
ผ่านการนำเสนอรถยนต์พลังงานไฟฟ้าหลากหลายประเภทที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
ไม่ว่าจะเป็นรถครอสโอเวอร์ (Crossover) อย่าง DENZA N7, รถสปอร์ตอเนกประสงค์ (SUV) อย่าง DENZA N8, รถแฮทช์แบ็กทรงสปอร์ตระดับพรีเมียมอย่าง DENZA Z9 GT และรถตู้อเนกประสงค์ (MPV) DENZA D9 ที่เน้นสมรรถนะ ความหรูหรา และเทคโนโลยีอัจฉริยะ ทั้งยังการันตีด้วยความเป็นที่หนึ่งในตลาดรถตู้อเนกประสงค์ของจีนในปี พ.ศ. 2566 โดยมียอดจองและยอดขายมากกว่า 250,000 คัน
นายหลิว เสวียเลี่ยง ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายขาย ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท บีวายดี ออโต้ อินดัสทรี จำกัด กล่าวว่า “การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานใหม่ในประเทศไทยในช่วงสองถึงสามปีให้หลังสะท้อนถึงศักยภาพที่รอการปลดปล่อยของตลาดพรีเมียมซึ่งยังคงมีพื้นที่ให้ขยายตัวตามการเติบโตทางเศรษฐกิจในกลุ่มผู้บริโภคในตลาดระดับบน
เรายินดีอย่างยิ่งที่ได้สานต่อความสำเร็จกับพันธมิตรระยะยาวอย่างเรเว่ ออโตโมทีฟ กับการเปิดตัวแบรนด์ DENZA อย่างเป็นทางการเพื่อยกระดับประสบการณ์ขับขี่ให้ชาวไทยได้สัมผัสถึงความหรูหราในทุกมิติ เราเชื่อว่าแบรนด์ DENZA จะเข้ามาสร้างสีสันและเพิ่มตัวเลือกผลิตภัณฑ์ยานยนต์ในตลาดให้กับผู้บริโภค กระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และผลักดันตลาดยานยนต์ลักชัวรี่พลังงานใหม่ในประเทศไทยให้เติบไตต่อไป”
นายประธานวงศ์ พรประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ กล่าวว่า “ตลาดรถยนต์ในประเทศไทย
ในปัจจุบันขับเคลื่อนด้วยความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคชาวไทยที่หันมาให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความยั่งยืน จึงยังเห็นการเติบโตและโอกาสของกลุ่มรถยนต์พลังงานใหม่ซึ่งรวมถึงรถไฟฟ้าพรีเมียม
เรเว่ ออโตโมทีฟ ภายใต้กลุ่มธุรกิจเรเว่ มุ่งมั่นในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคตที่ดียิ่งกว่าผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพพร้อมตัวเลือกที่หลากหลายสำหรับผู้บริโภคทุกกลุ่ม วันนี้ เราพร้อมแล้วที่จะพาชาวไทยไปสัมผัสอีกระดับของความหรูหรากับ DENZA แบรนด์ยนตรกรรมพลังงานใหม่ระดับลักชัวรี่ ที่โดดเด่นด้วยนวัตกรรมล้ำสมัย สมรรถนะที่ไม่เป็นรอง เทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัยสูงสุด รวมถึงความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
นำทัพโดย DENZA D9 ซึ่งมาพร้อมดีไซน์ที่สะท้อนความโมเดิร์นและความหรูหรา เทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน รวมถึงระบบความปลอดภัยและระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ เราเชื่อว่า DENZA D9 จะไม่เพียงมอบประสบการณ์อันเป็นเอกลักษณ์และความมั่นใจให้กับทุกการเดินทาง แต่จะพลิกโฉมวงการยานยนต์ลักชัวรี่อเนกประสงค์ในไทยพร้อมกับสร้างความคึกคักให้กับทั้งอุตสาหกรรม
ส่งท้ายปีอย่างแน่นอน”
นางสาวประธานพร พรประภา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ กล่าวว่า “การเปิดตัวแบรนด์ DENZA นอกจากจะเป็นการนำแบรนด์ยนตรกรรมพลังงานใหม่มาสู่ตลาด ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเรเว่
ในการสร้างระบบนิเวศ EV ที่ครอบคลุมยิ่งขึ้นในประเทศไทย รวมถึงส่งเสริมการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ EV ในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งยังเป็นการสานต่อความตั้งใจที่จะเป็นหนึ่งกำลังสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจสีเขียว หรือ Green Economy ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมผ่านรถยนต์พลังงานใหม่ ควบคู่ไปกับการก้าวสู่อนาคตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ตอกย้ำความเป็นผู้นำของเรเว่ที่พร้อมจะเติบโตไปพร้อมกับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในระยะยาว
ที่สำคัญ เราจะยังคงเดินหน้าเสริมสร้างความไว้วางใจและยกระดับประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับทั้งด้านการขายและการบริการหลังการขาย โดยมีโชว์รูมและศูนย์บริการเฉพาะของแบรนด์ DENZA ที่จะพร้อมให้บริการระดับพรีเมียมกับลูกค้าทุกท่านให้เข้ามาสัมผัสนวัตกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ระดับลักชัวรี่ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป และจะทยอยเปิดเพิ่มเพื่อรองรับความต้องการใช้รถแบรนด์ DENZA ในอนาคตต่อไป”
เอกสิทธิ์ด้านบริการสำหรับลูกค้า DENZA โดยเฉพาะ
โชว์รูมและศูนย์บริการแบรนด์ DENZA นำเสนอบริการระดับพรีเมียมโดยบุคลากรทั้งหมดจาก DENZA ไม่ว่า
จะเป็นพนักงานฝ่ายขายและทีมช่างผู้เชี่ยวชาญ พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายเพื่อมอบประสบการณ์และความประทับใจให้กับลูกค้าตั้งแต่ก้าวแรก โดยทำเลที่ตั้งอยู่ในย่านสำคัญในกรุงเทพมหานครและจังหวัดใหญ่ในประเทศไทย พร้อมมอบความสะดวกสบายในการเข้าถึงให้กับลูกค้าหลากหลายพื้นที่ รวมจำนวนทั้งสิ้น 10 แห่ง ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร 3 แห่ง ได้แก่ สาธุประดิษฐ์ เพชรบุรีตัดใหม่ และศรีนครินทร์ ต่างจังหวัด 7 แห่ง ได้แก่ ระยอง ชลบุรี เชียงใหม่ ขอนแก่น สงขลา สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต
ผู้บริโภคที่สนใจสามารถสั่งจอง DENZA D9 ได้ที่โชว์รูมและศูนย์บริการ DENZA ทุกสาขาตั้งแต่วันที่
29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป โดยสามารถติดตามความเคลื่อนไหว รายละเอียดโปรโมชัน และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook DENZA REVER Thailand
ที่มา BYD RÊVER Thailand