ใน ,

BYD เปิดตัวเทคโนโลยี DM เจเนอเรชันที่ 5 สำหรับรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ประสิทธิภาพดีขึ้น ระยะทางไกลขึ้น

BYD ประกาศเปิดตัวเทคโนโลยี DM เจเนอเรชันที่ 5 ที่เป็นเทคโนโลยีสำหรับขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) รวมถึงเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่อย่าง Qin L DM-i และ Seal 06 DM-i ที่เป็นรถ 2 รุ่นแรกที่ใช้เทคโนโลยี DM ใหม่นี้ด้วย

BYD เปิดตัวเทคโนโลยี DM เจเนอเรชันที่ 5 สำหรับรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ประสิทธิภาพดีขึ้น ระยะทางไกลขึ้น

สิ่งที่น่าสนใจของเทคโนโลยี DM เจเนอเรชันที่ 5 นี้ก็คือ BYD ประสบความสำเร็จสิ่งที่ดีที่สุดในโลก 3 เรื่องด้วยกัน ได้แก่ ประสิทธิภาพด้านความร้อนของเครื่องยนต์สูงสุด (46.06%), อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่ำสุด (2.9 ลิตร/100 กม.) และระยะทางที่ยาวที่สุด 2,100 กม.

ชื่อของระบบ DM นั้นย่อมาจาก Dual Mode ระบบนี้เปิดตัวครั้งแรกมาพร้อมกับ F3DM ในปี 2008 ซึ่งผลิตในเมืองซีอาน ประเทศจีน จึงเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้ BYD จัดงานเปิดตัวครั้งนี้ที่เมืองซีอานซึ่งเป็นบ้านเกิดของ BYD

ระบบ DM เจเนอเรชันที่ 5 ของ BYD เป็นการพัฒนาเทคโนโลยีจาก DM เจเนอเรชันที่ 4 ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.5L สามารถส่งกำลังได้สูงสุด 74 kW และมีแรงบิดอยู่ที่ 126 นิวตันเมตร และจากการปรับปรุงเทคโนโลยีเป็นเจนเนอเรชันที่ 5 ทำให้เครื่องยนต์มีประสิทธิภาพด้านความร้อนดีขึ้นถึง 46.06% ซึ่ง BYD เคลมว่ามีประสิทธิภาพดีที่สุดในโลก

ระบบ DM เจเนอเรชันใหม่ 5 มาพร้อมแบตเตอรี่ Blade Battery ขนาด 10.08 kWh และ 15.87 kWh ส่วนแบตเตอรี่ 12V เป็นแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนฟอสเฟส (LFP)

มอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ในระบบ DM มี 2 ขนาดด้วยกัน เป็นมอเตอร์ไฟฟ้า EHS120 กำลังสูงสุด 120 kW แรงบิดสูงสุด 210 นิวตันแมตร และมอเตอร์ไฟฟ้า EHS160 กำลังสูงสุด 160kW แรงบิดสูงสุด 260 นิวตันเมตร ซึ่งระบบไฮบริดไฟฟ้า (EHS) มีประสิทธิภาพ 92% ภายใต้สภาวะการทำงานที่ครอบคลุม เพิ่มขึ้นจากเดิม 5% และความหนาแน่นของพลังงานอยู่ที่ 75.47 กิโลวัตต์/ลิตร เพิ่มขึ้น 15.5%

ส่วนความหนาแน่นของพลังงานของ Blade Battery นั้นอยู่ที่ 115kWh/kg เพิ่มขึ้น 15.5% อัตราการคายประจุอยู่ที่ 16C เพิ่มขึ้น 33% ในขณะที่อัตราการฟีดแบ็คอยู่ที่ 5C เพิ่มขึ้น 20.3% ซึ่ง BYD ได้เน้นย้ำถึงความปลอดภัยและความสม่ำเสมอของอุณหภูมิด้วย

สำหรับการชาร์จ AC ได้รับการอัปเกรดจาก 3.3 kW เป็น 6.6 kW ลดเวลาการชาร์จลง 60% ส่วนการชาร์จ DC สามารถชาร์จจาก 30%-80% ได้ในเวลา 21 นาที และยังรองรับการจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์อื่น ด้วยกำลังไฟ 6 kW เพิ่มจากเวอร์ชันก่อนหน้า 3.3 kW

ถือเป็นความสำเร็จใหม่ของ BYD ในระบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ที่พัฒนาให้มีประสิทธิภาพที่ดีมากขึ้น ทั้งในด้านการจัดการความร้อนของเครื่องยนต์ อัตราการสิ้นเปลืองพลังงาน และระยะทางการขับขี่ที่ไกลมากขึ้น

ที่มา carnewschina

แสดงความคิดเห็น

เขียนโดย Sakura P.