เกาะติดทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าโลกช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2025 ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายสนับสนุนในระดับมหภาค ข้อมูลล่าสุดเผยให้เห็การเติบโตระหว่างภูมิภาค เมื่อยุโรปและจีนก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดที่มั่นคง สวนทางกับสหรัฐอเมริกาที่เผชิญภาวะชะงักจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาษีและมาตรฐานสิ่งแวดล้อม ติดตามรายละเอียดและตัวเลขสถิติที่น่าสนใจกัน
สรุปตลาด EV โลก 2025 ยอดขายทะลุ 18.5 ล้านคัน ยุโรปโตแรง สวนทางสหรัฐฯ ที่เริ่มแผ่ว
Benchmark Mineral Intelligence ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยห่วงโซ่อุปทาน EV และแบตเตอรี่ รายงานว่า ในเดือนพฤศจิกายน 2025 มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั่วโลกอยู่ที่ 2.0 ล้านคัน ทำให้ยอดขายรวมตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (YTD) อยู่ที่ 18.5 ล้านคัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2024

ยุโรปกลายเป็นผู้นำการเติบโตอย่างชัดเจนในเดือนพฤศจิกายน ในขณะที่อเมริกาเหนือยังคงตามหลัง เนื่องจากการหมดอายุของมาตรการลดหย่อนภาษี EV ของสหรัฐฯ ส่วนทางด้านจีน ยังคงครองตำแหน่งตลาด EV ที่ใหญ่ที่สุดในโลกไว้อย่างเหนียวแน่น
ตลาด EV ในยุโรป
ยุโรปผู้นำการเติบโตของโลก ตลาด EV ของยุโรปพุ่งขึ้น 36% เมื่อเทียบรายปี (YoY) ในเดือนพฤศจิกายน 2025 โดยยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) เพิ่มขึ้น 35% และปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) เพิ่มขึ้น 39% ส่งผลให้ยอดขาย EV รวมของยุโรปในปีนี้อยู่ที่ 3.8 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 33% เมื่อเทียบกับช่วงมกราคม-พฤศจิกายน 2024

ฝรั่งเศสกลับมาเติบโตอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน โดยขยับขึ้น 1% หลังจากติดลบมาเกือบตลอดปี 2025 เนื่องจากการตัดลดเงินอุดหนุนก่อนหน้านี้ การฟื้นตัวนี้นำโดยค่ายรถยนต์อย่าง Volkswagen Group และ Renault รวมถึงความหลากหลายของรุ่นรถ EV ที่มากขึ้น และโครงการ Leasing Social ของฝรั่งเศส ที่มุ่งช่วยให้ครัวเรือนที่มีรายได้น้อยสามารถเปลี่ยนมาใช้ EV ได้
อิตาลีก็ทำผลงานได้โดดเด่นเช่นกัน โดยมียอดขาย EV สูงสุดเป็นประวัติการณ์เกือบ 25,000 คันในเดือนพฤศจิกายน การพุ่งขึ้นนี้เป็นผลจากการเปิดตัวโครงการจูงใจใหม่เพื่อทดแทนรถยนต์สันดาปเก่า โดยมีงบประมาณสนับสนุน 597.3 ล้านยูโร (ประมาณ 22,000 ล้านบาท) สำหรับการเปลี่ยนรถน้ำมันประมาณ 39,000 คัน

ทางด้านสหราชอาณาจักร ได้ขยายการเข้าถึงเงินอุดหนุน EV เต็มจำนวน 3,750 ปอนด์ (ประมาณ 160,000 บาท) โดยเพิ่มรถยนต์ที่เข้าเกณฑ์อีก 5 รุ่น ได้แก่ Nissan Leaf (ผลิตในซันเดอร์แลนด์ เริ่มส่งมอบต้นปี 2026), MINI Countryman, Renault 4, Renault 5 และ Alpine A290
ตลาด EV ในสหรัฐอเมริกา
ตลาดสหรัฐฯ ชะลอตัว หลังเครดิตภาษีสิ้นสุดก่อนกำหนด ในอเมริกาเหนือ ยอดขาย EV ในสหรัฐฯ ขยับขึ้นเล็กน้อยในเดือนพฤศจิกายนเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า หลังจากที่ร่วงลงอย่างหนักในเดือนตุลาคมเนื่องจากเครดิตภาษีของรัฐบาลกลางหมดอายุลงเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2025

แบรนด์ต่าง ๆ เช่น Kia (เพิ่มขึ้น 30%), Hyundai (เพิ่มขึ้น 20%), Honda (เพิ่มขึ้น 11%) และ Subaru (ขาย Solterra ได้ 232 คัน เทียบกับ 13 คันในเดือนก่อน) ต่างมียอดขายเพิ่มขึ้น แต่ปริมาณโดยรวมยังคงต่ำกว่าช่วงที่มีเครดิตภาษี

การเปลี่ยนแปลงนโยบายไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น ในช่วงต้นเดือนธันวาคม Trump ได้ทำการรีเซ็ตมาตรฐานการประหยัดน้ำมัน (CAFE) ของสหรัฐฯ โดยลดค่าเฉลี่ยที่กำหนดลงเหลือประมาณ 34.5 ไมล์ต่อแกลลอน ภายในปี 2031 ซึ่งลดลงอย่างมากจากเป้าหมายเดิมที่ 50.4 ไมล์ต่อแกลลอน ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์สามารถผ่านมาตรฐานนี้ได้ด้วยการขายรถน้ำมันเป็นหลัก ลดแรงกดดันในการผลิตรถ BEV และ PHEV

กฎระเบียบที่ผ่อนปรนนี้ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนแล้ว เช่น แผนการลงทุน 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 4.4 แสนล้านบาท) ของ Stellantis เพื่อขยายการผลิตในสหรัฐฯ 50% ซึ่งเน้นไปที่รถยนต์สันดาปเป็นหลัก นอกจากนี้ Trump ยังกำหนดค่าปรับสำหรับการไม่ผ่านเกณฑ์ CAFE ให้เป็น 0 ดอลลาร์ ซึ่งยิ่งลดแรงจูงใจในการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าของผู้ผลิต
ถือเป็นการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาด เมื่อพิจารณาว่าโลกได้ผ่านจุดสูงสุดของยอดขายรถน้ำมันไปแล้วตั้งแต่ปี 2017 สหรัฐฯ ภายใต้การนำของ Trump จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เหมือนกับความพยายามที่จะฟื้นฟูอุตสาหกรรมถ่านหิน
ตลาด EV ในจีน
จีนยังคงครองตลาด พร้อมยอดส่งออกที่พุ่งกระฉูด จีนยังคงเป็นกระดูกสันหลังของยอดขาย EV โลก แม้การเติบโตจะชะลอตัวลง ตลาดจีนโตขึ้น 3% เมื่อเทียบรายปี และ 4% เมื่อเทียบรายเดือนในพฤศจิกายน ยอดขายสะสมทั้งปีอยู่ที่ 11.6 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 19%

ประเด็นสำคัญที่สุดจากจีนคือการส่งออก BYD รายงานยอดส่งออก EV สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 131,935 คันในเดือนพฤศจิกายน แซงหน้าสถิติเดิมที่เคยทำไว้ในเดือนมิถุนายน ยอดขายของ BYD ในยุโรปพุ่งขึ้นกว่า 4 เท่าในปีนี้ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้น 2 เท่า และในอเมริกาใต้เพิ่มขึ้นกว่า 50%

สรุปภาพรวมทั่วโลก (มกราคม – พฤศจิกายน 2025)
- ทั่วโลก: 18.5 ล้านคัน (+21%)
- จีน: 11.6 ล้านคัน (+19%)
- ยุโรป: 3.8 ล้านคัน (+33%)
- อเมริกาเหนือ: 1.7 ล้านคัน (-1%)
- พื้นที่อื่น ๆ: 1.5 ล้านคัน (+48%)
Charles Lester ผู้จัดการข้อมูลจาก Rho Motion กล่าวทิ้งท้ายว่า โดยรวมแล้ว ความต้องการ EV ยังคงแข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนจากรุ่นรถที่หลากหลายขึ้นและมาตรการจูงใจทางนโยบายที่ต่อเนื่องทั่วโลก
ที่มา electrek
