ล่าสุดผมเพิ่งได้มีโอกาสเห็น Ferrari Roma จอดที่ Supercar ห้างที่เชียงใหม่คันจริงนอกจากในงานบอกเลยว่าสวยมาก ๆ ล่าสุดก็ถึงเวลาปรับโฉมพร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น Amalfi ขุมพลัง V8 ที่ได้รับการพัฒนาให้ดีมากยิ่งขึ้นมาดูกันครับว่ามีการพัฒนาในส่วนไหนกันบ้าง
Ferrari Amalfi ซุปเปอร์คาร์คูเป้ขุมพลัง V8 แทนที่ Roma ทันสมัยขึ้น พัฒนาให้ดีขึ้น ภายในปรับเยอะ
ในช่วงบ่ายวันอังคารที่ผ่านมา Ferrari ได้เปิดตัวรถรุ่นใหม่ล่าสุดที่มีชื่อว่า Ferrari Amalfi โดยถูกออกแบบให้เป็นรถคูเป้ 4 ที่นั่ง วางเครื่องยนต์ด้านหน้าแบบ Front-mid engine คันนี้มาแทนที่ Ferrari Roma ที่เลิกผลิตไปในปี 2024 การออกแบบยังคงกลิ่นอายของ Roma ได้ครบถ้วน แต่มีการปรับโฉมด้านหน้าให้ทันสมัยยิ่งขึ้น พร้อมกับภายในห้องโดยสารถือว่าปรับปรุงครั้งใหญ่ คันนี้ยังคงใช้เครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบ แต่เพิ่มกำลังให้มากขึ้น
ดีไซน์ภายนอก: ยังคงเอกลักษณ์ แต่ทันสมัยขึ้น
Ferrari Amalfi ยังคงสัดส่วนจาก Roma ได้ชัดเจน ทั้งด้านท้ายที่ยกสูง ด้านหน้าที่ยาวแหลม และฝากระโปรงที่ออกแบบให้ลู่ลม ดีไซน์หน้าแบบ “Sharknose” เหมือนกับใน SF90 และ 12Cilindri มาใช้ด้วย คันนี้จะมีแถบสีดำเชื่อมระหว่างไฟหน้าทั้ง 2 ข้าง
ด้านท้ายยังคงใช้ไฟท้าย 4 ดวงแบบแยกดวง พร้อมแถบสีดำที่เชื่อมไฟด้านในทั้ง 2 ข้าง เพื่อเพิ่มความรู้สึกแข็งแกร่ง และสปอร์ต (ที่เราเริ่มชินกับดีไซน์แถบไฟพาดยาวในรถยนต์ยุดนี้)
ภายใน: ไม่มีปุ่มสัมผัสกวนใจอีกต่อไป
การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดอยู่ภายในห้องโดยสาร โดย Ferrari ได้ยกเลิกการใช้ปุ่มแบบสัมผัสบนพวงมาลัย ซึ่งถูกวิจารณ์มาอย่างยาวนาน และเปลี่ยนกลับมาใช้ปุ่มกดแบบจริงทั้งหมด ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ก็ถูกแทนที่ด้วยปุ่มกดไทเทเนียมจริง ๆ ที่ติดตั้งอยู่ด้านซ้ายของพวงมาลัย ทำให้เห็นได้ชัดว่า Ferrari รับฟังเสียงของลูกค้าจริง ๆ
ขุมพลัง: V8 แรงขึ้นด้วยเทคโนโลยีใหม่
ใต้ฝากระโปรงของ Amalfi ยังใช้เครื่องยนต์ V8 ขนาด 3.8 ลิตร Twin-Turbo ตัวเดิม แต่ได้รับการปรับจูนให้มีกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 631 แรงม้า (เพิ่มขึ้น 19 แรงม้าจาก Roma เดิม) แรงบิดยัง 760 นิวตันเมตร ส่งกำลังไปยังล้อหลังผ่านเกียร์คลัตช์คู่ 8 สปีด
Ferrari ได้กำลังที่เพิ่มขึ้นมาจากการปรับปรุงเหล่านี้
-
เพลาลูกเบา (lightweight camshaft)
-
เสื้อสูบผลิตด้วยความแม่นยำสูง
-
น้ำมันเครื่องความหนืดต่ำ
-
การปรับระบบเทอร์โบชาร์จใหม่
โดยใช้ ECU ตัวเดียวกับในรุ่น 296 GTB, Purosangue, และ 12Cilindri ที่สามารถควบคุมความเร็วรอบของเทอร์โบแต่ละตัวแยกกันได้สูงถึง 171,000 rpm พร้อมเซนเซอร์วัดแรงดันสำหรับแต่ละฝั่งของเครื่องยนต์ ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตอบสนองและควบคุมแรงดันอากาศ
เทคโนโลยีใหม่: เน้นความแม่นยำและความปลอดภัย
-
ระบบเบรกแบบ Brake-by-wire นำมาจากรุ่น 296 และ 12Cilindri ให้ความแม่นยำในการเบรกยิ่งขึ้น
-
สปอยเลอร์หลังแบบแอคทีฟ ยกตัวขึ้นอัตโนมัติเมื่อความเร็วสูงสุด เพื่อเสถียรภาพในการขับขี่ โดยในระดับที่สูงสุด สามารถสร้างแรงกด (Downforce) ได้ 110 กิโลกรัม ที่ความเร็วประมาณ 249 กม./ชม. โดยจะโดนแรงต้านเพียง 4% เท่านั้น
-
ระบบ Side Slip Control 6.1 ควบคุมทุกการเคลื่อนไหวของรถ ไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัย ระบบกันสะเทือน และการหมุนตัวรถ เพื่อเพิ่มการยึดเกาะและประสิทธิภาพสูงสุดในทุกสถานการณ์
ระบบช่วยเหลือการขับขี่ (ADAS): พร้อมใช้งานได้จริงเต็มรูปแบบ
-
Adaptive Cruise Control
-
Auto Emergency Braking
-
Lane Departure Warning
-
Lane Keep Assist
-
และอื่น ๆ อีกมากมาย
การผลิตและราคาประมาณการ
ยังไม่มีข้อมูลยืนยันช่วงเริ่มการส่งมอบ แต่คาดว่า Ferrari Amalfi จะเริ่มผลิตได้ภายในสิ้นปี 2025 และตามรายงานก่อนหน้านี้ Ferrari ได้จดทะเบียนชื่อ “Amalfi Spider” แล้ว เตรียมรอดูเวอร์ชันเปิดประทุนกันได้เลยครับ
Ferrari Roma รุ่นก่อนหน้าเริ่มต้นที่ $247,308 (ประมาณ 9.15 ล้านบาท) ราคาในไทยเริ่มต้น 21,230,000 บาท ทำให้คาดได้ว่า Ferrari Amalfi จะเริ่มต้นใกล้เคียง $300,000 (ประมาณ 11.1 ล้านบาท) จากอัตราเงินเฟ้อ และภาษีนำเข้าในตลาดต่างประเทศ
Ferrari Amalfi คือการก้าวสู่ยุคใหม่ของรถคูเป้ GT จากมาราเนลโล ที่คงเอกลักษณ์ของขุมพลัง V8 ไว้อย่างครบถ้วน แต่เพิ่มความทันสมัยทั้งในด้านเทคโนโลยี ความปลอดภัย และการออกแบบภายใน ตอบโจทย์ผู้ใช้ได้ดียิ่งขึ้นโดยไม่ทิ้งรากฐานของแบรนด์
ใครชอบดีไซน์ Roma หรือ Amalfi มากกว่ากันคอมเมนต์พูดคุยกันครับ (ส่วนตัวผมชอบความได้กระจังหน้าของ Roma มากกว่า แต่ไฟท้ายของ Amalfi ลงตัวกว่าครับ)
ที่มา : Motor1