Mercedes-Benz เปิดตัวพร้อมราคายนตรกรรมระดับ Top-End Luxury รวมกว่า 6 รุ่น และครั้งแรกกับยนตรกรรม Mercedes-Benz G 580 with EQ Technology (G-Class) ที่มาพร้อมขุมพลังไฟฟ้า 100% มาชมยนตรกรรมคันจริงจาก Mercedes-Benz ได้ที่งาน Motor Expo 2024 ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ย. – 10 ธ.ค. 2567 นี้
Mercedes-Benz เปิดตัวพร้อมราคายนตรกรรมระดับ Top-End Luxury รวม 6 รุ่น และครั้งแรกกับยนตรกรรม G-Class ที่มาพร้อมขุมพลังไฟฟ้า 100%
ไฮไลท์
- เปิดตัวยนตรกรรมระดับ Top-End Luxury รวมกว่า 6 รุ่น ได้แก่ Mercedes-Maybach EQS 680 SUV, Mercedes-Maybach S 580 e Premium, Mercedes-Benz G 580 with EQ Technology, Mercedes-Benz G 450 d, Mercedes-Benz S 580 e AMG Premium และ Mercedes-Benz V 300 d Exclusive
- ครั้งแรกกับยนตรกรรม G-Class ที่มาพร้อมขุมพลังไฟฟ้า 100% กับราคาเริ่มต้น 9,500,000 บาท ในรุ่น STANDARD และรุ่น EDITION ONE ที่มีเพียง 6 คันในประเทศไทย ราคาเริ่มต้น 12,200,000 บาท
- เนรมิตพื้นที่จัดงานระดับโลกให้กลายเป็นนิทรรศการจัดแสดงศิลปะขั้นสูง ภายใต้คอนเซปต์ “The Art of Cultivated Luxury” ผสมผสานความลงตัวในการจัดแสดงรถยนต์ร่วมกับชิ้นงานศิลปะระดับ Masterpiece ที่ได้ถูกคัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน
เมอร์เซเดส–เบนซ์ (ประเทศไทย) เสริมทัพไลน์อัพยนตรกรรมระดับ Top-End Luxury กว่า 6 รุ่น ครอบคลุมทั้งแบรนด์ Mercedes-Maybach และรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในกลุ่ม G-Class, S-Class และ V-Class โดยจัดแสดงภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Art of Cultivated Luxury” นำเสนอความงดงามของศิลปะร่วมสมัยที่ผสานเข้ากับยนตรกรรมของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ผ่าน 5 องค์ประกอบ ได้แก่ Luxury on Wheel, The Essence of Elegance, Culinary Mastery, The Art of Fine Drinking, และ Notes of Perfection สะท้อนถึงความประณีต รสนิยมชั้นสูง และสุนทรียภาพแห่งชีวิต รวมถึงความมุ่งมั่นของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในการมอบประสบการณ์อันเหนือระดับให้กับลูกค้าระดับไฮเอนด์ในทุกมิติ โดยจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ ณ ชั้น 3 อาคาร
เดอะ ฟอรัม แอท วัน แบงค็อก (One Bangkok Forum)
ไฮไลท์สำคัญของงาน “The Art of Cultivated Luxury” คือการเปิดตัวและจัดแสดงยนตรกรรมระดับ Top-End Luxury ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ กว่า 6 รุ่น ดังนี้
Mercedes-Maybach EQS 680 SUV
Mercedes-Maybach EQS 680 SUV จำหน่ายในราคาเริ่มต้น 12,500,000 บาท เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกภายใต้แบรนด์ Mercedes-Maybach ที่สุดแห่งยนตรกรรมเอสยูวีที่ตอบโจทย์การใช้งานอันเหนือระดับ
มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ PSM (Permanently Excited Synchronous Motors) โดยมอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกติดตั้งบริเวณเพลาขับหน้าและหลัง ให้กำลังสูงสุดถึง 658 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 950 นิวตันเมตร มอบอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 4.4 วินาที ต่อเนื่องทุกการเดินทางด้วยแบตเตอรี่แบบ High-voltage ชนิด Lithium-ion ที่มีความจุมากถึง 118.0 kWh พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่ดีที่สุดอย่าง fully-variable 4MATIC+ all-wheel drive สามารถวิ่งได้ไกลถึง 615 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง (WLTP)
Mercedes-Maybach EQS 680 SUV นับเป็นยนตรกรรมระดับ Top-End Luxury ที่สามารถมอบประสบการณ์แบบครบทุกสัมผัสทั้ง 5 อย่างเหนือระดับ ไม่ว่าจะเป็น ความสวยงามของการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของ Mercedes-Maybach ที่ผสานความหรูหราและล้ำสมัยได้อย่างสมบูรณ์แบบ
โดดเด่นด้วยระบบไฟหน้า DIGITAL LIGHT สามารถปรับความสว่างได้อัตโนมัติตามสภาพแวดล้อมและการจราจร มาพร้อมการติดตั้งระบบประตูแบบ Soft Close พร้อมประตูไฟฟ้า Electric Door ทั้ง 4 บาน และเป็นครั้งแรกที่มาพร้อมระบบ KEYLESS-GO Convenience Package Plus สามารถเปิด-ปิดและควบคุมประตูได้ทั้งบานคู่หน้าและคู่หลัง โดยประตูไฟฟ้าสามารถทำงานได้แม้อยู่บนทางลาดชัน และทำงานร่วมกับระบบแจ้งเตือนอันตรายก่อนการเปิด-ปิดประตูรถ ทั้งยังมาพร้อม Rear axle steering 10° โดยที่ล้อหลังสามารถเลี้ยวได้มากถึง 10° ช่วยให้การขับขี่คล่องตัวและเลี้ยวได้อย่างง่ายดายแม้ในพื้นที่แคบ
เมื่อเข้ามายังภายในห้องโดยสาร จะพบกับหน้าจอ MBUX Hyperscreen ยาวต่อเนื่องกันถึง 56 นิ้ว ซึ่งออกแบบตามแนวคิด Zero Layer concept พร้อมกระจกป้องกันรอยขีดข่วนคุณภาพสูง Gorilla® Glass แผ่นเดียวต่อเนื่องตลอดทั้งหน้าจอ โดยแบ่งการใช้งานเป็น 3 ส่วน ได้แก่ หน้าจอ Driver Display แบบ LED matrix backlighting ขนาด 12.3 นิ้ว หน้าจอ Central Display แบบ OLED ขนาด 17.7 นิ้ว และ หน้าจอ Co-driver Display แบบ OLED ขนาด 12.3 นิ้ว ซึ่งแสดงผลได้คมชัดยิ่งขึ้นผู้โดยสารสามารถใช้หน้าจอ Co-driver Display ในการช่วยเหลือผู้ขับขี่ โดยสามารถตั้งค่า ตรวจสอบสถานะต่าง ๆ ของรถ ค้นหาแผนที่ และใช้งานสื่อบันเทิงได้โดยไม่รบกวนผู้ขับขี่ ผสานการทำงานกับระบบปฏิบัติการ MBUX เจเนอเรชันที่ 2 ภายใต้ระบบ NTG7 ที่รองรับคำสั่งเสียงได้มากถึง 27 ภาษา
เติมความลักชัวรีในทุกสัมผัสไปอีกขั้น ด้วยการติดตั้งพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนัง Exclusive Nappa Leather ที่หรูหราและสะดวกสบายที่สุดสำหรับผู้ขับขี่ พร้อมเบาะนั่งพิเศษ Active Multi-Contour ที่มีระบบนวดกว่า 10 โปรแกรม แบบ ENERGIZING massage function และระบบปรับอุณหภูมิเบาะแบบ Climate seats ได้ทั้งแบบอุ่นและแบบเย็น ทั้งยังสามารถกรองฝุ่นละอองขนาดเล็ก เช่น PM 2.5 อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยระบบฟอกอากาศ ENERGIZING AIR CONTROL พร้อม HEPA FILTER ผสานการทำงานร่วมกับ AIR BALANCE PACKAGE ในการมอบบรรยากาศที่สดชื่นรอบห้องโดยสาร
Mercedes-Maybach EQS 680 SUV ยังโดดเด่นด้วยฟีเจอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ทั้งหน้าจอแบบ MBUX High-End Rear Seat Entertainment จำนวน 2 หน้าจอ ขนาด 11.6 นิ้ว ควบคุมด้วยระบบสัมผัสแบบ Multi-touch ที่ใช้งานเว็บเบราว์เซอร์หรือ YouTube ได้อย่างง่ายดาย สามารถเล่นเสียงผ่านเครื่องเสียงภายในรถ หรือผ่านหูฟังแบบ Bluetooth Audio พร้อมรองรับการเชื่อมต่อภาพและเสียงแบบ Mini HDMI มาพร้อม MBUX rear tablet หน้าจอขนาด 7.4 นิ้ว แบบ HD-resolution Display สามารถสลับการใช้งานได้ระหว่าง MBUX และ Android โดยแท็บเล็ตจะเชื่อมต่อและควบคุมหน้าจอต่าง ๆ ภายในรถผ่านสัญญาณ Wi-Fi สามารถควบคุมการเปิด-ปิดม่าน ระบบปรับอากาศ ระบบ climate seat และระบบนวดสำหรับที่นั่งตอนหลังได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ยังมอบประสบการณ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟที่ไม่เหมือนใคร ด้วยการติดตั้งตู้เย็นบริเวณด้านหลังที่เท้าแขนของผู้โดยสารตอนหลัง ความจุ 10 ลิตร พร้อมปุ่มควบคุมอุณหภูมิ (+7°C ถึง +1°C) ออกแบบพิเศษสำหรับแช่แชมเปญได้ 2 ขวด พร้อมที่วางแก้วแชมเปญสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
นอกจากนี้ ระบบความบันเทิงยังจัดมาแบบเต็มพิกัด สามารถเปลี่ยนห้องโดยสารให้เป็นคอนเสิร์ตของศิลปินคนโปรดได้ด้วยระบบเสียง Burmester® 4D surround sound system ด้วยลำโพงคุณภาพสูงกว่า 15 ตัว แบบ Premium Speakers ติดตั้ง Amplifier Channels ให้กำลังขับสูงสุด 790 วัตต์ พร้อม Dolby Atmos® และหูฟังไร้สายความละเอียดสูง พร้อมระบบตัดเสียงรบกวนแบบ Active Noise Cancellation ที่จะมอบประสบการณ์เสียงคุณภาพรอบทิศทาง
รถยนต์คันนี้ยังมาพร้อมระบบความปลอดภัย Assistance Package อย่างครบครัน อาทิ ระบบรักษาระยะห่างจากรถด้านหน้าและควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Active Distance Assist DISTRONIC) ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในช่องทางจราจร (Active Lane Keeping Assist) Active Steering Assist ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (Active Blind Spot Assist) ระบบช่วยควบคุมพวงมาลัย (Active Steering Assist) และ Parking Package พร้อมกล้องรอบคัน 360° ฯลฯ
โดยมีสี Non-Metallic Paints ให้เลือกทั้งหมด 2 สี ได้แก่ สีดำ (Black) และสีขาว (Polar White) มีสี Metallic Paints ให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ สีดำ (Obsidian Black) สีน้ำตาล (Velvet Brown) สีน้ำเงิน (Sodalite Blue) สีเงิน (High-tech Silver) สีเขียว (Emerald Green) และสีเทา (Selenite Grey) ส่วน MANUFAKTUR Paints Finish ทั้งหมด 2 สี ได้แก่ สีขาว (MANUFAKTUR Opalite White Bright) และสีเทา (MANUFAKTUR Alpine Grey Solid)
นอกจากนี้ ยังสามารถเลือก Optional Extra เป็นสีทูโทน อาทิ Selenite Grey/Obsidian Black, Nautic Blue/High-tech Silver, Obsidian Black/High-tech Silver, MANUFAKTUR Kalahari Gold Metallic/Obsidian Black และ Onyx Black/Satin Brown เป็นต้น
Mercedes-Maybach S 580 e Premium
Mercedes-Maybach S 580 e Premium จำหน่ายในราคาเริ่มต้น 11,300,000 บาท เป็นรถยนต์ซีดานระดับไฮเอนด์ลักชั
Mercedes-Maybach S 580 e ขับเคลื่อนด้วยระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 9 จังหวะ (9G-TRONIC) พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย มอบสมรรถนะในการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์เบนซินแบบแถวเรียง 6 สูบ พร้อมเทอร์โบและอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุดถึง 367 แรงม้าที่ 5,500-6,100 รอบ/นาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,600-4,500 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 150 แรงม้า แรงบิด 440 นิวตันเมตร เมื่อทำงานร่วมกันให้กำลังสูงสุดถึง 510 แรงม้า แรงบิด 750 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 5.7 วินาที ติดตั้งแบตเตอรี่แรงดันสูงแบบ Lithium-ion ขนาด 28.6 kWh ช่วยให้สามารถขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าได้ไกลกว่า 100 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP รองรับการชาร์จพลังงานไฟฟ้าแบบกระแสตรง (DC Charge) สูงสุด 60 kWh ใช้เวลา 30 นาที ส่วนการชาร์จแบบกระแสสลับ (AC Charge) รองรับสูงสุด 11 kWh ใช้เวลาชาร์จ 2 ชั่วโมง 30 นาที
ดีไซน์ภายนอกมีความโดดเด่นสง่างามพร้อมสะกดทุกสายตาตั้งแต่แรกเห็น เริ่มด้วยกระจังหน้าโครเมียมแบบ Radiator grille และตราสัญลักษณ์ Maybach อันเป็นเอกลักษณ์ ล้อมรอบด้วยกระจกแบบ laminated glass ช่วยสะท้อนความร้อน ป้องกันรังสีอินฟาเรดและเสียงสะท้อนจากภายนอก
มาพร้อมไฟหน้าแบบ DIGITAL LIGHT และระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Adaptive Highbeam Assist Plus ผสานการทำงานด้วยระบบปรับโคมไฟหน้าตามการเลี้ยวของพวงมาลัย ALS (Active Light System) ระบบเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง (Cornering light) และไฟท้ายดีไซน์ใหม่พิเศษแบบ LED พร้อมเทคโนโลยี fibre-optic ในส่วนของช่วงล่าง มีการติดตั้งล้อ MAYBACH แบบ forge wheels ขนาด 20 นิ้ว และระบบกันสะเทือนแบบถุงลม (AIRMATIC) เพื่อช่วงล่างที่นุ่มนวล สามารถปรับตั้งค่าให้เหมาะสมกับสภาพการขับขี่ ความเร็ว และการบรรทุกสัมภาระได้อย่างอัตโนมัติ ให้ทุกการขับขี่เป็นไปอย่างสะดวกสบายและเหนือระดับในทุกสภาพถนน
เมื่อเข้ามาภายในห้องโดยสาร จะพบแผงคอนโซลกลางแบบ black crystal-look finish ติดตั้งหน้าจอแสดงผลบริเวณคอนโซลกลาง OLED ขนาด 12.8 นิ้ว และหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบ Digital ที่สามารถปรับรูปแบบการแสดงผลได้ 3 รูปแบบ ตกแต่งบริเวณโครงหลังคาอย่างปราณีตด้วย DINAMICA microfibre คุณภาพสูง มาพร้อมพวงมาลัย 3 ก้านแบบใหม่ Wood/Leather Multifunction เพิ่มการตกแต่งลายไม้หลังเบาะผู้โดยสารตอนหน้าแบบ MANUFAKTUR black piano lacquer trim ที่มีเส้นสายโค้งไหลลื่น ให้ความรู้สึกล้ำสมัย และระบบนั่งด้านหลังแบบเฟิร์สคลาส พร้อมฟังก์ชันการนวดที่สามารถเปลี่ยนทุกความเหนื่อยล้าให้เป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลาย นอกจากนี้ ยังติดตั้งถุงลมนิรภัยระหว่างผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า (Centre Airbag) ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ THERMOTRONIC แบบ 4-ZONE ฟังก์ชันปรับสมดุลอากาศภายในห้องโดยสาร (AIR BALANCE package) ระบบฟอกอากาศแบบ HEPA filter และระบบตรวจวัดระดับฝุ่นละอองขนาด PM 2.5 เพื่อความปลอดภัยขั้นสูงสุดของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
Mercedes-Maybach S 580 e ได้มีการติดตั้งระบบความบันเทิงและการสื่อสารมาอย่างล้ำสมัย โดยควบคุมและสั่งการทุกอย่างราวกับมีผู้ช่วยส่วนตัวด้วยระบบ MBUX Interior Assistant อันชาญฉลาดเพื่อผู้โดยสารด้านหลัง รวมถึงระบบปฏิบัติการมัลติมีเดียแบบ MBUX ที่เชื่อมต่อ music streaming service ระบบแผนที่นำทาง และระบบตรวจสอบสภาพการจราจร Live Traffic Information มาพร้อมการติดตั้งระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester® 3D surround sound system ที่จะช่วยยกระดับสุนทรียภาพแห่งการเดินทางอย่างไร้ขีดจำกัด ผสานการทำงานกับ Ambient lighting ในการสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารด้วยระบบไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสารกว่า 64 เฉดสี ที่สามารถปรับแต่งได้หลากหลายรูปแบบ รวมถึง 2 เฉดสีพิเศษ ได้แก่ สี twinkle-star และสี rosé gold ที่มีเฉพาะในยนตรกรรมจาก Mercedes-Maybach เท่านั้น
ความพิเศษในรูปแบบใหม่ของรถยนต์คันนี้คือ การเปิดประสบการณ์ใหม่แห่งการเดินทางไปกับโปรแกรมการขับขี่แบบ “Maybach” ที่ออกแบบมาเพื่อมอบความผ่อนคลายขณะเดินทางให้แก่ผู้โดยสารด้านหลังโดยเฉพาะ โดยจะเน้นการเคลื่อนที่ของระบบช่วงล่างและควบคุมแรงสั่นสะเทือนของรถยนต์เพื่อมอบการขับขี่ที่นุ่มสบายที่สุด ในขณะเดียวกันก็สามารถปรับการควบคุมคันเร่งเพื่อการออกตัวอย่างนุ่มนวล ในขณะที่โปรแกรมการขับขี่แบบ “COMFORT” ก็จะช่วยมอบสมดุลแห่งการขับขี่อันสะดวกสบายสำหรับผู้โดยสารทั้งด้านหน้าและด้านหลัง และยังมีอีกหลากหลายโหมดให้เลือกใช้งานตามความต้องการด้วยระบบปรับรูปแบบการขับขี่ DYNAMIC SELECT
สำหรับเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยนั้น Mercedes-Maybach S 580 e จัดมาให้อย่างเต็มพิกัดตามแบบฉบับรถยนต์ระดับไฮเอนด์ลักชัวรี ทั้งระบบขอความช่วยเหลืออัตโนมัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ระบบช่วยเหลือการขับขี่ Driving Assistance package ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติในกรณีฉุกเฉิน (Active Emergency Stop Assist) ระบบช่วยควบคุมพวงมาลัยและเตือนเมื่อปล่อยมือ (Active Steering Assist with hands-off warning) และระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชัน HOLD และ Hill-Start Assist ฯลฯ นอกจากนี้ ยังติดตั้งระบบช่วยจอด Active Parking Assist with PARKTRONIC พร้อมกล้อง 360° ที่จะช่วยนำรถเข้าจอดได้อย่างง่ายดายผ่านการส่งสัญญาณเสียง
และการแสดงภาพรอบทิศทางผ่านกล้อง 360° ที่มีความแม่นยำสูง เพื่อช่วยควบคุมการจอดรถได้อย่างสะดวกและปลอดภัยมากขึ้น
Mercedes-Maybach S 580 e มาพร้อมสีทูโทนใหม่ คือ High-tech Silver / Selenite Grey
Mercedes-Benz G 580 with EQ Technology
The new G-Class เปิดตัว 2 รุ่น ในรุ่น STANDARD ราคาเริ่มต้น 9,500,000 บาท และรุ่น EDITION ONE ราคาเริ่มต้น 12,200,000 บาท โดยสำหรับรุ่น EDITION ONE จะจำหน่ายจำนวนจำกัดเพียง 6 คัน ในประเทศไทย
Mercedes-Benz G 580 with EQ Technology ครั้งแรกกับการสานต่อตำนาน 45 ปี ของ G-Class เจ้าของฉายา “King of Off-Road” ผสมผสานสมรรถนะระดับสูง และความหรูหราตามแบบฉบับของเมอร์เซเดส-เบนซ์ แต่ยังคงความคลาสสิกด้วยรูปลักษณ์สไตล์ทรงกล่องได้อย่างลงตัว มอบความสมบูรณ์แบบด้านการขับขี่และการใช้งานในชีวิตประจำวันที่มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ได้แก่ “STANDARD” และ “EDITION ONE” มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัว แยกติดตั้งทั้ง 4 ล้อ ให้กำลังสูงสุด 587 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 1,164 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่งที่ยอดเยี่ยมจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงในเวลา 4.7 วินาที สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขับเคลื่อน 4 ล้อ All-wheel drive วิ่งได้ไกลถึง 473 กิโลเมตร (WLTP) ต่อการชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม 1 ครั้ง โดยยังรองรับการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง (DC charge) สูงถึง 200 kWh ใช้เวลาชาร์จเพียง 32 นาทีจาก 10-80% ส่วนการชาร์จแบบกระแสสลับ (AC Charge) รองรับสูงสุด 11 kWh ใช้เวลาชาร์จจาก 0 – 100% ในระยะเวลา 11 ชั่วโมง 45 นาที
โครงสร้างตัวถังนิรภัยถูกออกแบบมาพร้อมความแข็งแรงและทนทานในทุกสภาวะ มอบความปลอดภัยด้วยการใช้เหล็กกล้าที่มีความหนากว่า 3.4 มิลลิเมตร เพื่อปกป้องและลดการบิดตัวของห้องโดยสาร ทั้งยังเสริมความแกร่งด้วยโครงสร้างพิเศษแบบ Carbon-fibre skid plate ที่มีความหนา 3 ซม. ในการปกป้องแบตเตอรี่แบบ high-voltage อย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมตอบสนองทุกการขับขี่ทั้งแบบ on-road และ off-road โดยการขับขี่แบบ off-road จะมาพร้อม G-TURN ซึ่งเป็นระบบการกลับรถรูปแบบใหม่ที่สามารถหมุนรถได้ถึง 720 องศา หรือ 2 รอบ ช่วยให้ตัวรถสามารถหมุนตัวกลับได้ในทันที และระบบการเข้าโค้งแบบ G-STEERING ช่วยลดรัศมีวงเลี้ยวให้แคบลง โดยสั่งการให้แต่ละล้อเพิ่มหรือลดกำลังอย่างอิสระตามสถานการณ์ ในความเร็วไม่เกิน 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้การเข้าโค้งง่ายดายกว่าที่เคย โดยทั้งสองระบบนี้จะจำกัดให้สามารถทำงานได้บนพื้นถนนที่เป็น off-road แบบถนนทรายหรือถนนเปียกเท่านั้น
G 580 with EQ Technology มาพร้อมกับ ELECTRIC DYNAMIC SELECT โปรแกรมรูปแบบการขับขี่ที่มีให้เลือกมากถึง 5 แบบ ไม่ว่าจะเป็น รูปแบบการขับขี่ on-road มีให้เลือก 3 โปรแกรม ได้แก่ Comfort, Sport และ Individual นอกจากนี้ ยังมีโปรแกรมการขับขี่เฉพาะสำหรับรูปแบบการขับขี่แบบ off-road ให้เลือก 2 โปรแกรม ได้แก่ Trail และ Rock โดยการใช้งานโปรแกรมการขับขี่ LOW RANGE จะสามารถใช้ได้แค่ในโหมด ‘Rock’ เท่านั้น
มอบทัศนวิสัยการขับขี่ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยเทคโนโลยีไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED สามารถตรวจจับทางโค้งและมุมอับสายตาอย่างแม่นยำ ผสานการทำงานกับฟังก์ชัน ULTRA RANGE Highbeam ปรับความสว่างของไฟหน้าให้ส่องได้ไกลกว่า 650 เมตร โดยอัตโนมัติหากไม่พบรถยนต์ที่วิ่งสวนทาง ช่วยให้การขับรถทางไกลนอกเมืองเป็นไปอย่างราบรื่น มาพร้อมระบบส่องสว่างอัจฉริยะ (ILS – Intelligent Light System) ที่จะปรับเปลี่ยนการทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์การขับขี่และรูปแบบของถนน ระบบ ALS (Active Light System) ปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัย ระบบ Cornering Light เพิ่มการส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง และระบบ Adaptive Highbeam Assist ปรับไฟสูงอัตโนมัติไม่ให้รบกวนสายตาของผู้ขับขี่เลนตรงข้าม
Mercedes-Benz G 580 with EQ Technology ติดตั้งล้ออัลลอย 5-twin-spoke ขนาด 18 นิ้ว พ่นสี high-gloss black พร้อมระบบช่วงล่างแบบ Suspension with adaptive damping adjustment ที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการตอบสนองผ่านโหมดการขับขี่ต่าง ๆ รวมถึงปรับตาม differential locks ที่กำลังใช้งานอยู่ ณ ขณะนั้น ให้เหมาะสมกับสภาพเส้นทาง เมื่อขับขี่บนถนนเรียบ ระบบจะปรับช่วงล่างให้มีการตอบสนองต่ำ เพื่อลดแรงสะเทือนและเสียงดังที่เกิดจากยาง แต่เมื่อขับขี่บนถนนขรุขระ ระบบจะปรับช่วงล่างให้มีการตอบสนองสูงขึ้น เพื่อความรู้สึกนุ่มนวลและสะดวกสบายตลอดการเดินทาง
ในส่วนของเทคโนโลยีและระบบความบันเทิง มาพร้อมระบบปฏิบัติการ MBUX7 ทำงานโดยใช้ AI ที่จะจดจำรูปแบบการใช้งาน และปรับการตั้งค่าให้เหมาะสมกับผู้ขับขี่แต่ละคน ติดตั้งหน้าจอความละเอียดสูงพร้อมระบบควบคุมแบบสัมผัส ขนาด 12.35 นิ้ว สามารถควบคุมการทำงานของระบบต่าง ๆ ผ่านการสัมผัสและแสดงข้อมูลที่ชัดเจน เช่น ระบบนำทางและการเชื่อมต่อมัลติมีเดีย และรองรับการสั่งงานด้วยเสียงเจเนอเรชันใหม่ได้ถึง 27 ภาษา มาพร้อมระบบเสียง Burmester® 3D surround sound system ทรงพลังด้วยลำโพงคุณภาพสูงจำนวน 18 ตัว DSP 16 amplifier channels รอบห้องโดยสารด้วยกำลังขับขนาด 760 วัตต์ ถ่ายทอดเสียงอันไพเราะด้วยโหมดเสียงพิเศษแบบ Pure & 3D-Sound ที่ Burmester® ออกแบบมาสำหรับ The new G-Class โดยเฉพาะ
รถยนต์คันนี้มาพร้อมความโดดเด่นของระบบความปลอดภัย Assistance Package แบบจัดเต็ม อาทิ ระบบรักษาระยะห่างจากรถด้านหน้าและควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Active Distance Assist DISTRONIC) ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในช่องทางจราจร (Active Lane Keeping Assist) Active Steering Assist, ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (Active Blind Spot Assist) ระบบช่วยควบคุมพวงมาลัย (Active Steering Assist) และ Parking Package พร้อมกล้องรอบคัน 360° ฯลฯ
Mercedes-Benz G 580 with EQ Technology “EDITION ONE”
สำหรับ Mercedes-Benz G 580 with EQ Technology ยังมาพร้อมรุ่นพิเศษ EDITION ONE ที่ยกระดับฟีเจอร์ต่าง ๆ ไปอีกขั้น อาทิ ระบบกุญแจ KEYLESS-GO ชุดแต่งภายนอกรอบคันแบบ AMG Bodystyling ชุดแต่ง Night Package และ MANUFAKTUR logo package in black โดยจะมีสัญลักษณ์รูปตัว G เพื่อสื่อถึงไอคอนิกของ G-Class ทุกตำแหน่ง เช่น มือจับประตู ไฟส่องที่พื้น และด้านหลังของที่เก็บสัมภาระ ทั้งยังเพิ่มความโดดเด่นด้วยเส้นด้านข้างของตัวรถ ซึ่งจะถูกตกแต่งด้วยสีเงินและสีน้ำเงิน มาพร้อมกันชนหน้าและคาลิปเปอร์ที่ตกแต่งด้วยสีน้ำเงินเช่นกัน ช่วงล่างติดตั้งล้ออัลลอย AMG 10-spoke ขนาด 20 นิ้ว ที่มีรูปแบบให้เลือกมากยิ่งขึ้นตามความชื่นชอบของผู้ขับขี่
ดีไซน์ภายในของรุ่น EDITION ONE มีการตกแต่งแบบ AMG Interior มาพร้อมเบาะนั่งทูโทนตัดสลับสีเงิน และเดินด้วยด้ายสีน้ำเงินทั้งคัน พร้อมกับ Trim Carbon-fibre แบบพิเศษ ที่ตกแต่งด้วยสีน้ำเงิน รวมถึงการเพิ่ม Active Multi Contour Seat ของเบาะนั่งคู่หน้า ช่วยให้ทุกการขับขี่และการโดยสารเป็นไปอย่างสะดวกสบาย
โดยรุ่น “STANDARD” มีสีตัวถังให้เลือกทั้ง Metallic Paints และ Non-Metallic Paints กว่า 8 สี, MANUFAKTUR Metallic Paints 8 สี, MANUFAKTUR Non-Metallic Paints 6 สี, MANUFAKTUR Bright Paints 1 สี, MANUFAKTUR Magno Paints 10 สี MANUFAKTUR Exclusive Magno Paints 3 สี และสีน้ำเงิน (MANUFAKTUR South Sea Blue Magno) ซึ่งเป็นสีเฉพาะสำหรับ Mercedes-Benz G 580 with EQ Technology อย่างเดียวเท่านั้น
ส่วนรุ่นพิเศษ “EDITION ONE” มีสีตัวถังพิเศษให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีดำ (Obsidian Black Metallic) สีน้ำเงิน (MANUFAKTUR South Seas Blue Magno) สีขาว (MANUFAKTUR Opalite White Bright) และสีเทา (MANUFAKTUR Classic Grey Non-metallic)
Mercedes-Benz G 450 d
Mercedes-Benz G 450 d จำหน่ายในราคาเริ่มต้น 12,200,000 บาท ยนตรกรรมเอสยูวีขนาดใหญ่สำหรับผู้ที่หลงใหลในเสียงเครื่องยนต์ดีเซลอันทรงพลัง มาพร้อมดีไซน์ดุดันในแบบ G-Class โดดเด่นด้วยเครื่องยนต์ดีเซลรหัส OM 656M ความจุ 2,989 ซีซี พ่วงระบบ ISG2 (Integrated Starter Generator) ที่ให้พลังรวมสูงสุด 367 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุดถึง 750 นิวตันเมตร ที่ 1,350-2,800 รอบต่อนาที อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาเพียง 5.8 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 210 กม./ชม. ระบบขับเคลื่อนที่พัฒนาขึ้นใหม่นี้ทำให้รถยนต์คันนี้โดดเด่นทั้งด้านสมรรถนะการขับขี่และการประหยัดพลังงานไปอีกขั้น
ดีไซน์ภายนอกโดดเด่นด้วยชุดแต่ง AMG Line รอบคัน ด้านบนติดตั้งหลังคาพาโนรามิคซันรูฟแบบเลื่อนเปิด-ปิด ได้ด้วยระบบไฟฟ้า ช่วยให้สัมผัสบรรยากาศภายนอกได้อย่างเต็มที่ขณะขับขี่ในเส้นทางต่าง ๆ ช่วงล่างติดตั้งล้อแบบ AMG ที่ถูกออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่แต่ยังคงความสปอร์ต มาพร้อมระบบกุญแจแบบ KEYLESS-GO สามารถเข้าออกตัวรถได้เพียงถือกุญแจไว้ใกล้ตัว ระบบจะทำการปลดล็อกประตูโดยอัตโนมัติ และสามารถกดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ทันที รวมถึง New A-pillar และสปอยเลอร์เหนือกระจกหน้าของรถยนต์คันนี้ ยังได้รับการออกแบบใหม่ เพื่อลดเสียงรบกวนจากลมและการสั่นสะเทือน โดยการใช้วัสดุฉนวนแบบใหม่ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ ทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างเงียบสงบและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
Mercedes-Benz G 450 d มาพร้อมดีไซน์ภายในแบบ EXCLUSIVE Line Interior มอบความรู้สึกแบบสปอร์ตและพรีเมียมในทุกการเดินทาง ตัวห้องโดยสารถูกออกแบบด้วยวัสดุตกแต่งพิเศษที่สะท้อนถึงเอกลักษณ์ของ AMG ไม่ว่าจะเป็น พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันรุ่นใหม่พร้อมแผงควบคุมแบบสัมผัส เบาะนั่งแบบหนัง แผงหน้าปัด อีกทั้งแป้นควบคุมกลางคอนโซลสำหรับระบบ MBUX7 พร้อมปุ่มควบคุมลัด DYNAMIC SELECT และปุ่มควบคุมระดับเสียง ศูนย์ควบคุมโหมดออฟโรดออกแบบใหม่ รวมถึงการควบคุมล็อกเฟืองท้ายทั้ง 3 จุด โหมด LOW RANGE โหมดเกียร์ธรรมดา และปุ่มเข้าสู่ OFFROAD COCKPIT
บนเส้นทางและนอกเส้นทางทั่วโลก Mercedes-Benz G 450 d สามารถสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็น ด้านความสามารถในการขึ้นลงทางลาดชัน ความสูงใต้ท้องรถที่เหมาะสม หรือแรงขับเคลื่อนอันมหาศาล ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้ด้วยการทำงานผสานกันของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ระบบกระจายแรงบิด “differential locks” ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ G-Class โครงสร้างตัวถังแข็งแกร่งแบบ ladder-type และโหมดขับเคลื่อนความเร็วต่ำแบบ LOW RANGE โดยระบบจะใช้เกียร์ต่ำเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม ช่วงล่างของรถยนต์คันนี้ยังได้รับการปรับจูนใหม่ให้มีความแข็งแกร่ง สามารถลุยไปได้ในเกือบทุกพื้นที่ ในขณะที่ยังคงความนุ่มนวลไว้เมื่อขับขี่แบบปกติ มาพร้อมกล้อง 360° Transparent Bonnet ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถมองเห็นบริเวณด้านหน้าและใต้ท้องรถผ่านหน้าจอแสดงผล โดยใช้กล้องรอบตัวรถเพื่อสร้างภาพเสมือนจริง โดยเฉพาะในสภาพการขับขี่ที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การขับขี่ในเส้นทางออฟโรดหรือพื้นที่แคบ ฟีเจอร์นี้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและมั่นใจในการขับขี่ ทำให้สามารถตรวจสอบสภาพพื้นผิวและสิ่งกีดขวางได้อย่างง่ายดาย เพื่อให้ได้สัมผัสจิตวิญญาณแห่งการผจญภัยที่แท้จริงในแบบฉบับของรถยนต์ G-Class
สะดวกสบายไปอีกขั้นด้วยเทคโนโลยีและระบบความบันเทิงจากระบบปฏิบัติการ MBUX รุ่นล่าสุด พร้อมกับ zero-layer concept ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเข้าถึงฟังก์ชันสำคัญได้โดยไม่ต้องเลื่อนผ่านเมนูหลายชั้น โดยอินเตอร์เฟซจะแสดงข้อมูลและฟีเจอร์ที่ใช้งานบ่อยบนหน้าจอหลักโดยอัตโนมัติ ทำให้การควบคุมและการสั่งงานสะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น สามารถเชื่อมต่อกับ Online Music Streaming ทรงพลังด้วยเสียงจากลำโพง Burmester® 3D Surround Sound System ซึ่งเป็นระบบเสียงระดับพรีเมียมที่ออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์การฟังที่คมชัดสมจริง ผสานเทคโนโลยี Dolby Atmos® ที่ช่วยเพิ่มมิติของเสียงรอบด้าน ทำให้ผู้โดยสารรู้สึกเหมือนอยู่ในคอนเสิร์ตฮอลล์ ทั้งยังปลอดภัยด้วยระบบกรองอากาศแบบ Air Balance Cabin-Air Purification System ช่วยกรองฝุ่นละอองและมลพิษจากภายนอก พร้อมปรับสภาพอากาศภายในห้องโดยสารให้สะอาดและสดชื่นอยู่เสมอ
Mercedes-Benz G 450 d ยังติดตั้งระบบความปลอดภัยขั้นสูงสุดมากมาย อาทิ Assistance Package ทั้งระบบรักษาระยะห่างจากรถด้านหน้าและควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Active Distance Assist DISTRONIC) ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (Blind Spot Assist with exit warning function) ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในช่องทางจราจร (Active Lane Keeping Assist) และระบบช่วยควบคุมพวงมาลัย (Active Steering Assist) และระบบความปลอดภัยอื่น ๆ อย่างครบครัน
โดยมีสีตัวถังให้เลือกทั้ง Metallic และ Non-Metallic กว่า 8 สี, MANUFAKTUR Metallic Paint 8 สี, MANUFAKTUR Non-Metallic Paint 6 สี, MANUFAKTUR Bright Paint 1 สี, MANUFAKTUR Magno Paint 10 สี และ MANUFAKTUR Exclusive Magno Paint 2 สี
Mercedes-Benz S 580 e AMG Premium
Mercedes-Benz S 580 e AMG Premium จำหน่ายในราคา 7,580,000 บาท ที่สุดแห่งยนตรกรรมระดับไอคอนิกในตระกูล S-Class จากเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่ผสานความทันสมัยในทุกด้านอย่างลงตัว ทั้งสุนทรียภาพของการขับขี่ ความสะดวกสบายของการโดยสาร ระบบความบันเทิง และความปลอดภัยในระดับเฟิร์สคลาส
ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินแบบ 6 สูบเรียง ขนาด 2,999 ซีซี พร้อมเทอร์โบและอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุดถึง 367 แรงม้าที่ 5,500-6,100 รอบ/นาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,600-4,500 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 150 แรงม้า แรงบิด 480 นิวตันเมตร เมื่อทำงานร่วมกันให้กำลังสูงสุดถึง 510 แรงม้า และแรงบิดรวมสูงสุด 750 นิวตันเมตร
ดีไซน์ภายนอกถ่ายทอดทุกความสง่างามบนท้องถนนตามปรัชญา “Sensual Purity” ที่มีความงดงามและน่าหลงใหล ผ่านการออกแบบที่เรียบหรูแต่ทรงพลัง มีการตกแต่งรอบคันแบบ AMG Bodystyling อันเป็นเอกลักษณ์ของ AMG สะท้อนความหรูหราและความทันสมัย เพื่อให้ทุกการขับขี่โดดเด่นในทุกมุมมอง พร้อมทั้งอุปกรณ์มาตรฐานที่ถูกติดตั้งมาอย่างครบครัน ทั้งไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED ผสานการทำงานร่วมกับระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Adaptive Highbeam Assist Plus) ระบบปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัย ALS (Active Light System) และระบบเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง (Cornering light) นอกจากนี้ ยังมาพร้อมเทคโนโลยีที่จะช่วยยกระดับการเดินทางไปอีกขั้น ทั้งระบบกุญแจแบบ KEYLESS-GO และ seamless door handles ระบบเปิด-ปิดฝากระโปรงท้ายอัตโนมัติ โดยไม่ต้องใช้มือ (HANDS-FREE ACCESS) หลังคาพาโนรามิคซันรูฟ เลื่อนเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า มาพร้อมล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ multi-spoke ขนาด 20 นิ้ว และระบบช่วงล่างอัจฉริยะอย่าง ระบบกันสะเทือนแบบถุงลม (AIRMATIC) พร้อมระบบควบคุมระดับอัตโนมัติ ที่ออกแบบมาเพื่อลดแรงกระแทกและเพิ่มความนุ่มนวลในการขับขี่ทุกเส้นทาง
มอบความสะดวกสบายทุกการขับขี่มากขึ้นด้วยระบบควบคุมทิศทางตัวรถแบบเลี้ยว 4 ล้อ (Rear axle steering 4.5°) โดยที่ล้อหลังสามารถเลี้ยวได้มากถึง 4.5 องศา เพื่อช่วยเหลือกรณี U-turn และขณะเข้าจอดที่ความเร็วต่ำ ระบบจะหมุนล้อหลังไปในทิศทางตรงข้ามกับล้อหน้าได้สูงสุดถึง 4.5 องศา หากความเร็วเกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระบบนี้จะช่วยการทรงตัวขณะขับขี่ที่ความเร็วสูง โดยจะหมุนล้อหลังไปในทิศทางเดียวกันกับล้อหน้าไม่เกิน 3 องศา ขึ้นอยู่กับความเร็วที่ใช้งาน แต่เมื่อความเร็วสูงสุด ระบบจะเลี้ยวไม่เกิน 2.5 องศา ในทิศทางเดียวกันกับล้อหน้า
ภายในห้องโดยสารของ S 580 e AMG Premium ออกแบบมาอย่างประณีตด้วยชุดตกแต่ง AMG Interior Package ที่เน้นความหรูหราและสปอร์ตอย่างลงตัว มาพร้อมเบาะนั่งหุ้มหนัง Exclusive Nappa ตัดเย็บลายเบาะแบบ diamond design สะท้อนถึงความพิถีพิถันในทุกรายละเอียด เสริมด้วยพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบสปอร์ต 3 ก้าน หุ้มด้วยหนัง Nappa พร้อมปุ่มควบคุมแบบ Touch Control นอกจากนี้ พื้นที่ด้านบนของคอนโซลหน้าและส่วนกลางของแผงประตูกลางยังหุ้มด้วยหนัง Nappa พร้อมลายไม้ที่โดดเด่นบริเวณแผงประตู ช่องระบายอากาศ และด้านหลังของเบาะนั่งคู่หน้า อีกทั้งยังมีระบบชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย (Wireless Charging) สำหรับที่นั่งด้านหลัง และระบบช่วยเหลือภายในห้องโดยสาร MBUX Interior Assistant ที่สามารถจดจำท่าทางเฉพาะบุคคล เพื่อเรียกใช้งานฟังก์ชันที่ตั้งค่าไว้ล่วงหน้าอย่างง่ายดาย
การติดตั้งเทคโนโลยีและระบบการสื่อสารต่าง ๆ ใน S 580 e AMG Premium จัดมาแบบเต็มพิกัด พร้อมส่งมอบประสบการณ์อันเหนือระดับแก่ผู้ขับขี่และผู้โดยสารไปอีกขั้น ทั้งระบบมัลติมีเดีย MBUX entertainment พร้อมเชื่อมต่อ music streaming service ระบบแผนที่นําทางและสภาพการจราจร Live traffic information ฟังก์ชันสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยโทรศัพท์มือถือ (Remote Engine Start) อุปกรณ์สื่อสารด้วยสัญญาณ LTE สําหรับบริการ Mercedes me connect นอกจากนี้ ผู้โดยสารด้านหลังยังสามารถเพลิดเพลินไปกับระบบมัลติมีเดีย MBUX ที่มาพร้อมจอแสดงผล 2 ตําแหน่ง และระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester® 3D surround sound system ด้วยลําโพงคุณภาพสูงถึง 15 ตัว พร้อมระบบปรับรูปแบบเครื่องเสียงแบบส่วนตัว (Sound personalization) ที่จะมอบสุนทรียภาพแห่งเสียงเพลงอย่างเต็มเปี่ยม
นอกจากนี้ ยังมาพร้อมระบบความปลอดภัยอย่างครบครัน อาทิ ระบบช่วยเหลือการขับขี่ Driving Assistance Package ระบบรักษาระยะห่างจากรถด้านหน้าและควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Active Distance Assist DISTRONIC) ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในช่องทางจราจร (Active Lane Keeping Assist) ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติในกรณีฉุกเฉิน (Active Emergency Stop Assist) ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (Active Blind Spot Assist) ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST) โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP® (Electronic Stability Program) และระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ พร้อมกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง และฟังก์ชัน Active Parking Assist ฯลฯ
โดยมีสีตัวถังให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีดำ (Obsidian Black) สีเงิน (High-Tech Silver) สีขาว (MANUFAKTUR Opalite White Bright)
Mercedes-Benz V 300 d Exclusive
Mercedes-Benz V 300 d Exclusive จำหน่ายในราคา 5,820,000 บาท เป็นรถแวนอเนกประสงค์ 6 ที่นั่ง ในตระกูล V-Class เป็นรุ่นนำเข้ามาตรฐานยุโรป ออกแบบมาเพื่อเป็นรถสำหรับครอบครัว หรือผู้ที่ต้องการความสะดวกสบาย และความหรูหราระดับเฟิร์สคลาส มาพร้อมการตกแต่งภายในที่พิถีพิถัน พื้นที่กว้างขวาง ฟังก์ชั่นการใช้งานที่อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร สมรรถนะและการขับขี่ที่ดีเยี่ยม รวมถึงเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยตามแบบฉบับของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เจเนเรชั่นใหม่
ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 4 สูบ ขนาด 1,950 ซีซี สามารถรีดพละกำลังสูงสุด 237 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม. ได้ในระยะเวลา 7.4 วินาที มีความเร็วสูงสุดโดยประมาณที่ 220 กม./ชม. โดยมีระบบส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 9 จังหวะ (9G-TRONIC) ที่มีจุดเด่นในการรักษาระดับการทำงานของรอบเครื่องยนต์ให้ต่ำ และช่วยให้จังหวะการเร่งเครื่องมีความต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น
ดีไซน์ภายนอกคงความภูมิฐานและแฝงความสปอร์ต ด้วยการตกแต่งกระจังหน้าใหม่แบบ Exclusive chrome grille ด้วยวัสดุโครเมียมสุดหรู พร้อมแถบไฟ LED ทั้งยังเป็นครั้งแรกในรถแวนที่มาพร้อมดาวลอย (MB logo on bonnet) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงความหรูหราและความเป็นเอกลักษณ์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ มอบความปลอดภัยในทุกเส้นทางด้วยไฟหน้าแบบ Multibeam LED สามารถปรับการส่องสว่างให้เหมาะสมกับสภาพการขับขี่ และสภาพแวดล้อมโดยอัตโนมัติ รวมถึงล้อไลท์อัลลอย Monoblock ขนาด 19 นิ้ว และระบบกันสะเทือนแบบ AIRMATIC Suspension ที่จะช่วยซับแรงกระแทกและทำให้ช่วงล่างนุ่มนวลยิ่งขึ้น
Mercedes-Benz V 300 d Exclusive ถูกออกแบบอย่างประณีตและพิถีพิถันตามแบบฉบับของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ห้องโดยสารภายในตกแต่งด้วย Wood-look มีการติดตั้งฟังก์ชันการใช้งานที่มอบความสะดวกสบายให้ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้เป็นอย่างดี ทั้งเบาะนั่งสีเบจที่มอบความเรียบหรูในทุกองศาแบบ 3 ตอน 6 ที่นั่ง พร้อมฟังก์ชันนวดในตัว จัดรูปแบบการนั่งแบบ 2-2-2 และพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน พร้อม Touchpad ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมระบบต่าง ๆ ของรถได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกระจกมองหลังแบบดิจิทัล ที่ใช้กล้องความละเอียดสูงเพื่อแสดงภาพบนกระจกมองหลัง ช่วยเพิ่มความคมชัดและมุมมองที่กว้างขึ้น ระบบชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย (Wireless charging) และระบบกุญแจ KEYLESS-Start เพิ่มความสะดวกสบายให้ผู้ขับขี่ด้วยการสตาร์ทเครื่องยนต์ได้โดยใช้แค่ปุ่มกด
ในส่วนของเทคโนโลยีและระบบความบันเทิง มีการผสานรวมเทคโนโลยี MBUX เวอร์ชั่นล่าสุด (Mercedes-Benz User Experience) ซึ่งเป็นระบบอินโฟเทนเมนต์อัจฉริยะที่สามารถควบคุมการทำงานต่าง ๆ ของรถผ่านหน้าจอสัมผัสและการสั่งงานด้วยเสียง และเป็นครั้งแรกกับ Mercedes-Benz แอปพลิเคชัน และแพ็กเกจ Digital Extras ในรถแวนที่มาพร้อมกับระบบ Navigation ซึ่งให้ข้อมูลการนำทางแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถวางแผนเส้นทางอย่างแม่นยำและช่วยนำทางอย่างชาญฉลาด พร้อมยกระดับบรรยากาศที่ดีเยี่ยมในห้องโดยสารด้วยคุณภาพของระบบเสียงรอบทิศทางแบบ Burmester® และแสงไฟ Ambient Light ที่สามารถปรับแต่งได้ถึง 64 เฉดสี ช่วยสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายตามความต้องการของผู้โดยสารในทุกการเดินทาง
ความปลอดภัยในการขับขี่และการโดยสารเป็นสิ่งที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ให้ความสำคัญ โดยเฉพาะกับรถยนต์ในกลุ่ม V-Class ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนที่มีครอบครัว ดังนั้น เทคโนโลยีต่าง ๆ ใน Mercedes-Benz V 300 d Exclusive จึงมีทั้งระบบความปลอดภัยมาตรฐานและระบบความปลอดภัยขั้นสูง อาทิ ระบบรักษาระยะห่างจากรถด้านหน้าและควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Active Distance Assist DISTRONIC) ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในช่องทางจราจร (Active Lane Keeping Assist) ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST) ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (Active Blind Spot Assist) ระบบช่วยเบรกแบบแอคทีฟ (Active Brake Assist) ระบบรักษาสมดุลของตัวรถเมื่อมีลมมาปะทะด้านข้าง (Crosswind Assist) และระบบช่วยนำรถเข้าจอด พร้อมเทคโนโลยีกล้องแสดงภาพแบบรอบทิศทาง (360º Camera) ฯลฯ
โดยมีสีตัวถังให้เลือกทั้งหมด 7 สี ได้แก่ สีเงิน (Hightech Silver) สีดำ (Obsidian Black) สีขาว (Rock Crystal White) สีเทา (Graphite Grey) สีเทา (Alpine Grey) สีฟ้า (Vintage Blue) และสีทอง (Kalahari Gold)
มร. มาร์ทิน ชเวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เมอร์เซเดส–เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การเปิดตัวยนตรกรรมทั้ง 6 รุ่น สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นเลิศในทุกด้านของเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างแท้จริง โดยแบรนด์ Mercedes-Maybach และรถยนต์กลุ่ม S-Class ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความหรูหราแบบร่วมสมัย ด้วยการตกแต่งภายในสุดประณีต เทคโนโลยีล้ำสมัย และการออกแบบที่เหนือกาลเวลา ในส่วนของรถยนต์กลุ่ม G-Class นั้น เป็นตัวแทนด้านขุมพลังและมรดกอันยิ่งใหญ่ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ พร้อมตอกย้ำถึงความสง่างามที่มาพร้อมความแข็งแกร่งและสมรรถนะขั้นสูง และสำหรับผู้ที่ต้องการพื้นที่กว้างขวางในการใช้งาน เรายังได้นำเสนอรถแวนอเนกประสงค์ในกลุ่ม V-Class ที่เหมาะสำหรับกลุ่มครอบครัวและกลุ่มนักธุรกิจ พร้อมตอบโจทย์ทุกการใช้งานที่หลากหลาย”
นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการจัดแสดงเครื่องประดับและเฟอร์นิเจอร์หายากที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถันจาก “Lotus Arts de Vivre” แบรนด์จิวเวลรี่และของตกแต่งบ้านชื่อดังของไทย และนาฬิกาหรูจาก “SHH by Pendulum” รวมไปถึงเมนูอาหารและเครื่องดื่มสุดพิเศษที่รังสรรค์โดยเชฟระดับมิชลินสตาร์อย่าง “WANAYOOK” คาเวียร์บาร์สุดพรีเมียมจาก “Prunier” และแชมเปญชั้นเลิศจาก “Laurent-Perrier” พร้อมดื่มด่ำไปกับบทเพลงอันไพเราะจากวงออร์เคสตรา “THAILAND PHILHARMONIC” ที่มาเติมเต็มประสบการณ์แห่งความลักชัวรี่ในแบบฉบับของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ เราไม่ได้เพียงแค่นำเสนอความเหนือชั้นด้านสมรรถนะ ความสะดวกสบาย และความปลอดภัยในรถยนต์ทุกรุ่นเท่านั้น แต่เรายังมุ่งมั่นที่จะส่งมอบความประณีตและความสง่างามในทุกองค์ประกอบ โดย ‘Cultivated Luxury’ ถือเป็นการผสมผสานระหว่างรสนิยม วัฒนธรรม และคุณค่าอย่างลงตัว เรามีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนสำคัญในการยกระดับมาตรฐานใหม่แห่งความลักชัวรี่นี้” มร. มาร์ทิน กล่าวปิดท้าย
สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์รุ่นต่าง ๆ ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้ที่ www.mercedes-benz.co.th หรือที่ศูนย์บริการเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการทุกสาขาทั่วประเทศ หรือติดตามข่าวสารอัพเดทผ่านทาง Facebook : Mercedes-Benz Thailand IG : @MercedesBenzThailand และ LINE : @mercedesbenzth
ข่าวประชาสัมพันธ์จาก เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย