MG4 รุ่นใหม่ ขับหลังไม่ได้ไปต่อ! ขับหน้า FWD อย่างเดียว เน้นภายใน และซอร์ฟแวร์ เอาใจคนจีนมากขึ้น
MG4 รุ่นล่าสุด ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของแบรนด์ MG ภายใต้เครือ SAIC Motor หลังจากความสำเร็จและเสียงจาก MG4 การขับเคลื่อนล้อหลัง RWD และการเซ็ตช่วงล่างสไตล์ยุโรป กลับกันด้วยการมาครั้งใหม่นี้ MG4 ได้เปลี่ยนแนวทางใหม่ด้วยระบบขับเคลื่อนล้อหน้า (FWD) พร้อมโครงสร้างแชสซีใหม่ที่เน้นประสิทธิภาพ และการใช้พื้นที่ภายในสูงสุด

รถรุ่นนี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Compact Electric Hatchback โดยมุ่งเป้าไปยังกลุ่มผู้ใช้รถไฟฟ้าระดับเริ่มต้นในจีน ด้วยราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ประมาณ 68,800 หยวน (ประมาณ 336,000 บาท)
ปรับทิศทางใหม่ เพื่อผู้ใช้ในตลาดจีน
ต่างจากรุ่นก่อนที่พัฒนาโดยคำนึงถึงตลาดยุโรปเป็นหลัก MG4 รุ่นปี 2025 ได้รับการปรับให้เข้ากับผู้บริโภคในจีนมากขึ้น เน้น “ความใช้งานง่าย การจัดสรรพื้นที่ และความคุ้มค่า” มากกว่าความสปอร์ตของการขับขี่ สอดคล้องกับแนวโน้มของตลาด EV ราคาประหยัดที่เติบโตอย่างรวดเร็วในจีน
คู่แข่งสำคัญของ MG4 ได้แก่ BYD Dolphin, Wuling Binguo S, และ Geely Geome Xingyuan โดย MG4 พยายามสร้างความแตกต่างด้วยดีไซน์เฉพาะตัว และด้วยแบรนด์ MG ที่ยังคงมีเสน่ห์อย่างเอกลักษณ์ของแบรนด์อังกฤษในอดีต


ทดสอบโดย Carnewschina
รถทดสอบที่ใช้คือรุ่นเริ่มต้น ถือเป็นรุ่นขายดีที่สุดในจีน มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 42.8 kWh ระยะทางวิ่งได้ 437 กม. (มาตรฐาน CLTC)
ดีไซน์ภายนอก
ด้านหน้าใช้ไฟหน้าแบบโปรเจกเตอร์, กระจังหน้าแบบรังผึ้งทรงแบ่งชั้น และในรุ่นท็อปจะได้โลโก้ MG แบบเรืองแสง
- มิติตัวถังยาว 4,395 x กว้าง 1,842 x สูง 1,551 มม.
- ฐานล้อ 2,750 มม. รุ่นทดสอบติดตั้งล้อขนาด 16 นิ้ว
ไฟท้ายได้แบบพาดยาว (Full-width Light Bar) และฝาท้ายทรงลาด เพื่อช่วยควบคุมแรงลมและการไหลของอากาศ ล้อและยางแตกต่างกันตามรุ่นย่อย คำนึงถึงสมดุลระหว่างแรงต้านการหมุนและการยึดเกาะถนน คุณภาพงานประกอบโดยรวมอยู่ในระดับมาตรฐานของรถกลุ่มนี้

ห้องโดยสาร
ภายในห้องโดยสารของ MG4 สะท้อนแนวทางการออกแบบของรถ EV จีนในกลุ่มราคาไม่เกิน 100,000 หยวน เน้นความเรียบง่ายและดิจิทัลเต็มรูปแบบ ด้วยหน้าจอกลางระบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว ควบคุมการทำงานหลักทั้งหมด และหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบดิจิทัลแยกต่างหาก ปุ่มฟังก์ชันจริงถูกลดเหลือเฉพาะส่วนที่จำเป็นเท่านั้น

วัสดุภายในให้สัมผัสตามระดับราคา มีพื้นผิวนุ่มเฉพาะบริเวณกลางคอนโซลและแผงประตู ส่วนบนและล่างยังใช้พลาสติกแข็งตามมาตรฐาน Segment
พื้นที่เก็บสัมภาระท้ายรถมีความจุ 471 ลิตร พร้อมช่องเก็บย่อยอีก 98 ลิตร เบาะหลังเอนในองศาที่พอเหมาะเพื่อเพิ่มความสบายในการเดินทางไกล
ระบบอินโฟเทนเมนต์ขับเคลื่อนด้วยชิป Qualcomm Snapdragon 8155 รองรับการอัปเดต OTA (Over-the-Air) และเชื่อมต่อสมาร์ตโฟนผ่านระบบ Oppo Smart Mobility System ภายในออกแบบให้เน้น “ความทันสมัยและใช้งานสะดวก” มากขึ้น


ประสบการณ์ขับขี่
MG4 รุ่นใหม่ ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า FWD ล่างด้านหน้าแบบ MacPherson Strut และ Torsion Beam ด้านหลัง แทน Multi 5-Link เดิมในรุ่นขับหลัง RWD แบบบ้านเราปัจจุบัน
ช่วงล่างถูกจูนให้นุ่มเพื่อดูดซับแรงกระแทกได้ดีขึ้น แต่เมื่อเจอถนนขรุขระจะมีอาการโยกตัวในแนวดิ่งและหน้า–หลังบ้าง ในความเร็วต่ำให้ความนุ่มนวลพอเหมาะ แต่เมื่อผ่านหลุมใหญ่หรือพื้นถนนไม่เรียบ จะรู้สึกว่าช่วงล่างต้องใช้เวลาสักพักในการคืนตัว

ในย่านความเร็วสูง การทรงตัวยังคงดีขึ้น แต่พวงมาลัยให้ความแม่นยำในระดับปานกลาง ระบบพวงมาลัยไฟฟ้าถูกปรับให้เบาในโหมด Normal และ Eco ทำให้การตอบสนองดูไม่เป็นธรรมชาติ และคืนศูนย์กลางช้า โหมด Sport ช่วยเพิ่มน้ำหนักพวงมาลัย และความไวคันเร่ง ทำให้ควบคุมได้มั่นใจขึ้น แม้จะยังเน้นความง่ายในการขับมากกว่าความคม
มอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้าให้กำลังสูงสุด 120 kW (163 แรงม้า) พร้อมแรงบิดทันที เมื่อเร่งแรงในพื้นถนนเปียก ล้อหน้าอาจสูญเสียการยึดเกาะชั่วขณะ แต่ระบบควบคุมการทรงตัวเข้ามาทำงานได้รวดเร็ว
ระดับเสียงรบกวนและแรงสั่นสะเทือนอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมกับระดับราคา เสียงลมและเสียงยางเริ่มเด่นชัดเมื่อเกิน 80 กม./ชม. โดยเฉพาะบริเวณกระจกมองข้างและเสา A
โดยรวมแล้ว MG4 รุ่นใหม่นี้ให้สมรรถนะการขับขี่ที่เน้น ความเรียบง่าย ควบคุมง่าย และเหมาะกับการใช้งานประจำวัน มากกว่าความเร้าใจ
หลังการเปิดตัว MG4 ได้รับความสนใจไม่น้อยเพราะรุ่นใหม่นี้กวาดยอดจองกว่า 30,000 คันภายใน 24 วัน (ข้อมูลถึงวันที่ 22 กันยายน) สะท้อนให้เห็นถึงกระแสตอบรับที่แข็งแกร่งในฐานะรถแฮทช์แบ็กไฟฟ้าราคาเข้าถึงง่าย
ที่มา : Carnewschina
