Cadillac Elevated Velocity รถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบนิยามใหม่ “อนาคตรถหรู” วัดสุขภาพ หัวใจ ความเครียดผู้โดยสารได้ ขับอัตโนมัติ หรือจะขับเองก็เร้าใจ
ในยุคที่ซอฟต์แวร์ พลังการประมวลผลเข้ามามีบทบาทสำคัญในรถยนต์ ผู้คนต่างเริ่มคาดหวังมากกว่าการขับขี่ เช่น หน้าจอที่ชาญฉลาด การเชื่อมต่อ ระบบความปลอดภัยขั้นสูง ไปจนถึงระบบขับขี่อัตโนมัติ เทรนด์เหล่านี้กำลังเปลี่ยนแนวทางการออกแบบ และการคิดของผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลก
สำหรับ Cadillac แบรนด์รถหรูในเครือ General Motors (GM) ได้คาดเดาความต้องการของผู้บริโภคในอีก 5, 10 หรือ 15 ปีข้างหน้าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ Cadillac กำลังพยายามทำสิ่งนั้นผ่านแนวคิดใหม่อย่าง Elevated Velocity Concept มาดูรายละเอียดสุดล้ำคันนี้กันครับ
Elevated Velocity: รถยนต์ต้นแบบอนาคตที่จะมอบ “ความหรูหรา” แบบใหม่ที่เข้าใจมากขึ้น
แนวคิด Elevated Velocity ไม่ได้เป็นเพียงรถต้นแบบธรรมดา แต่เป็นแพลตฟอร์มแห่งการทดลอง เพื่อค้นหาว่าลูกค้าในยุคยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และระบบขับขี่อัตโนมัติ ต้องการอะไรจากรถหรูของพวกเขา
Bryan Nesbitt รองประธานฝ่ายออกแบบระดับโลกของ GM กล่าวไว้ว่า “เราพร้อมที่จะเข้าใจ ศึกษา และแก้ปัญหาอย่างแท้จริง เพื่อมอบประสบการณ์ให้กับลูกค้าในระหว่างที่รถอยู่ในโหมดขับขี่อัตโนมัติ”
Cadillac เชื่อว่าเทคโนโลยีสามารถ “ปลดล็อคประสบการณ์ใหม่” ให้กับผู้โดยสาร ในขณะเดียวกันก็ยังคงไว้ซึ่งความตื่นเต้นของการขับขี่ด้วยตนเอง
“ลูกค้าบางคนยังต้องการสัมผัสการควบคุมเอง ต้องการการขับขี่ที่เร้าใจด้วยตนเอง” Nesbitt กล่าว “เราคิดว่าการผสมผสานทั้ง 2 รูปแบบ คือคำตอบแห่งความหรูหราในอนาคต”
แนวคิดที่มากกว่าแค่ความสบาย แต่รวมถึง “สุขภาพและเวลา” ของผู้ขับขี่
Elevated Velocity ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงฟีเจอร์ความสะดวกสบาย แต่ยังตั้งคำถามถึง “อนาคตของการใช้เวลาในรถ” เมื่อรถสามารถขับเองได้
รถต้นแบบรุ่นนี้ได้ติดตั้งเซนเซอร์ชีวภาพ (Biometric Sensors) ที่สามารถตรวจวัดอัตราการเต้นหัวใจ ปริมาณออกซิเจนในเลือด และระดับความเครียดของผู้โดยสาร เพื่อช่วยในการผ่อนคลายหรือฝึกหายใจในระหว่างการเดินทาง
เทคโนโลยีนี้อาจต่อยอดไปสู่ระบบตรวจจับสุขภาพแบบเต็มรูปแบบในอนาคต ที่สามารถแจ้งเตือนผู้ขับได้ทันทีเมื่อมีความเสี่ยงทางสุขภาพ อาจช่วยชีวิตผู้โดยสารได้จริง
“เรารู้ว่าเราสามารถเก็บข้อมูลทางชีวภาพได้ แต่คำถามคือ เราจะใช้มันอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด” Nesbitt กล่าว
จาก InnerSpace สู่ Elevated Velocity: วิสัยทัศน์ต่อเนื่องของ Cadillac
ก่อนหน้านี้ Cadillac เคยเผยโฉมรถต้นแบบ InnerSpace Concept (2023) ที่มาพร้อมหน้าจอ LED พาโนรามาขนาดใหญ่ ครอบคลุมเกือบทั้งกระจกหน้า ออกแบบมาเพื่อยกระดับประสบการณ์ภายในห้องโดยสารให้เหนือระดับ ทั้งด้านความบันเทิง และการควบคุมรถ
ทดลองสิ่งใหม่เพื่อเข้าใจ “อนาคตของความหรูหรา”
Cadillac ยอมรับว่าการนิยาม “ความหรูหรา” ในอีก 10-20 ปีข้างหน้ายังไม่มีคำตอบที่แน่นอน รถต้นแบบนี้จึงเป็นโอกาสในการเก็บข้อมูลความคิดเห็นจากผู้บริโภค และทดสอบว่าทิศทางการลงทุนด้านเทคโนโลยีในปัจจุบันของแบรนด์นั้น “ถูกทางหรือไม่”
นอกจากนี้ แนวคิด Elevated Velocity ยังมีการทดลองเทคโนโลยีใหม่ เช่น
-
พวงมาลัยแบบมีจอแสดงผลในตัว แสดงข้อมูลสำคัญอย่างความเร็ว เวลา และระดับแบตเตอรี่
-
ล้อแบบมีแสงไฟเรืองแสง (Illuminated Rims) เพื่อเพิ่มเอกลักษณ์ด้านดีไซน์
-
หน้าจอแสดงผลเสมือนจริงเต็มกระจกหน้า (Full-Windshield Augmented Reality HUD) สำหรับอนาคตที่ “ไร้หน้าจอ” ภายในห้องโดยสาร
แต่ทางทีมวิศวกรของ GM ยังต้องหาวิธีติดตั้งระบบถุงลมนิรภัยให้เข้ากับพวงมาลัยแบบใหม่นี้ก่อนที่จะนำไปใช้จริงได้
กำลังไฟฟ้าไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของความหรูหรา
แม้ Cadillac จะไม่ได้เปิดเผยข้อมูลระบบขับเคลื่อนของ Elevated Velocity แต่ยืนยันว่ารถคันนี้เป็น รถไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (BEV) และยังคงมองว่า “ไฟฟ้า” คืออนาคตของแบรนด์
ตัวอย่างชัดเจนคือ Cadillac Lyriq-V รถ SUV พลังไฟฟ้าที่แรงที่สุดของแบรนด์ มีกำลังถึง 615 แรงม้า ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เพียง 3.3 วินาที ราคาจำหน่ายเริ่มต้นราว 80,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.95 ล้านบาท)
Elevated Velocity คือภาพสะท้อนของการทดลองเพื่อเข้าใจว่า “ความหรูหรา” ในยุคไฟฟ้าและอัตโนมัติจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร มันไม่ใช่เพียงแค่การออกแบบรถ แต่เป็นการตั้งคำถามเรื่อง “ความหมายของการขับขี่”
Cadillac ไม่ได้แค่สร้างรถหรู แต่กำลังสร้าง “อนาคตของประสบการณ์การเดินทาง” ที่รวมทั้งเทคโนโลยี สุขภาพ และอารมณ์ของผู้ขับเข้าไว้ด้วยกัน ด้วยวิสัยทัศเหล่านี้ อาจเป็นก้าวสำคัญที่นิยามคำว่า “Luxury Mobility” ใหม่ทั้งหมดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ที่มา : Motor1