ผู้ผลิตรถยนต์ได้พยายามที่จะทำให้ประสบการณ์การขับขี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ใกล้เคียงกับรถยนต์สันดาปมากที่สุด ซึ่งในปัจจุบัน การเปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้าไม่จำเป็นต้องให้ผู้ขับขี่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการขับขี่มานัก ยกเว้นรถยนต์ไฟฟ้าที่มี “ระบบ One-Pedal”
เมื่อต้องเปลี่ยนจากรถสันดาปสู่รถ EV สิ่งแรกที่ต้องเรียนรู้คือ “One-Pedal Driving” ใช้แล้วดีจริงไหม?
One-Pedal คืออะไร
One-Pedal เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้ผู้ใช้สามารถเร่ง ชะลอ และหยุดรถ ได้โดยใช้แค่ คันเร่ง” เพียงแป้นเดียว
ความแตกต่างของการขับขี่ เมื่อเทียบกับรถที่ไม่มี One-Pedal
ในรถยนต์สันดาป สิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อยกเท้าออกจากคันเร่งจะขึ้นอยู่กับว่ารถยังอยู่ในเกียร์หรือไม่ หากยังอยู่ในเกียร์ จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า Engine Brake ซึ่งจะทำให้รถชะลอความเร็วลง แต่ถ้าอยู่ในเกียร์ว่าง รถก็จะไหลไปข้างหน้าเรื่อย ๆ หากผู้ใช้ต้องการหยุดรถ ก็ต้องเหยียบเบรกเท่านั้น
ซึ่งการเปลี่ยนมาขับขี่รถยนต์ EV นั้นประสบการณ์ก็แทบไม่ต่างกันมากนัก ยกเว้นรถยนต์ไฟฟ้าที่มีระบบ One-Pedal จะมีข้อแตกต่างเล็กน้อยคือ เมื่อผู้ขับขี่ยกเท้าออกจากคันเร่ง รถจะชะลอความเร็วลงทันที และอัตราการชะลอความเร็วจะสูงกว่าในรถยนต์สันดาปอย่างเห็นได้ชัด (ความรู้สึกเหมือนรถกระชาก) พูดง่าย ๆ ก็คือ
- รถที่ไม่มีระบบ One-Pedal เมื่อเรายกเท้าจากคันเร่ง รถจะไหลไปเรื่อย ๆ (ต้องใช้เบรกเพื่อหยุด)
- รถยนต์ EV ที่ใช้ One-Pedal เมื่อเรายกเท้าจากคันเร่ง รถจะหน่วงและชะลอความเร็วลงทันที จนอาจถึงขั้นหยุดนิ่งเองได้ โดยไม่ต้องเหยียบเบรก
เบื้องหลังการทำงานของ One-Pedal
หัวใจหลักของ One-Pedal คือ ระบบเบรกแบบจ่ายพลังงาน (Regenerative Braking) ที่สามารถเปลี่ยนพลังงานจากการชะลอรถ > กลับไปเป็นไฟฟ้า > เก็บเข้าแบตเตอรี่ เมื่อยิ่งหน่วงมาก ก็ยิ่งได้ไฟกลับคืน
การชะลอความเร็วของมอเตอร์ไฟฟ้าในรถ EV นั้นดึงกลับค่อนข้างแรง และถ้าหากยกเท้าออกอย่างรวดเร็วก็จะเกิดการ Regenerative Braking ส่งผลให้ไฟเบรกจะสว่างขึ้นเพื่อเตือนรถคันหลังว่ากำลังชะลอความเร็ว โดยที่ผู้ขับขี่ไม่ต้องเหยียบเบรก
การชะลอความเร็วที่แรงกว่าของรถยนต์ไฟฟ้านี้ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถขับขี่รถโดยใช้เพียงคันเร่งแป้นเดียวได้ในรถยนต์ไฟฟ้าบางรุ่นที่รองรับ One-Pedal โดยผู้ขับขี่สามารถเหยียบคันเร่งเพื่อเร่งความเร็ว และสามารถยกเท้าออกจากคันเร่งเพื่อผ่อนหรืออาจทำให้รถหยุดสนิทได้เลยในบางรุ่น ส่วนบางรุ่นก็อาจจะต้องเหยียบเบรกจริง ๆ เพื่อหยุดรถในช่วงความเร็วต่ำหรือช่วงชะลอ
ความแรงของระบบ Regenerative Braking ในรถยนต์ EV จะขึ้นอยู่กับประเภทของมอเตอร์ที่ใช้ และความสามารถในการตัดการทำงานของมอเตอร์ออกจากล้อ ซึ่งรถยนต์ EV บางรุ่นสามารถปรับระดับความแรงของการหน่วงนี้ได้หลายระดับ เช่น เบา กลาง หนัก ซึ่งให้ความยืดหยุ่นในการใช้งานระบบตามความถนัด
ภาพจาก racv
ในรถยนต์ EV รุ่นเก่าบางรุ่น จะมีตัวเลือกให้เปิดหรือปิดใช้งาน One-Pedal ได้ ส่วนรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ มักมีโหมดปรับความหน่วงอัตโนมัติ อย่างเช่น ระบบ i-Pedal 3.0 ที่มีใน Kia EV3 ระบบนี้ช่วยให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องคอยปรับระดับการหน่วงเองตามสถานการณ์การจราจรตลอดเวลา เพราะรถจะทำการปรับให้โดยอัตโนมัติ โดยพิจารณาจากประเภทของถนนที่กำลังวิ่งอยู่ หรือวัตถุที่อยู่ข้างหน้ารถ
หนึ่งในตัวอย่างที่ดีที่สุดของการใช้ระบบ One-Pedal แบบปรับอัตโนมัติคือ Tesla Model 3 รุ่น Refreshed (Highland) ที่ระบบสามารถคาดเดาการขับขี่ได้ดีกว่ารถยนต์รุ่นอื่น ๆ จากการทดลองขับในเมือง รถจะหยุดตรงจุดที่พอดีเสมอ โดยที่ไม่ต้องเหยียบเบรกหรือคันเร่งเพิ่มเติม
ข้อดีของการมี One-Pedal
- ขับขี่ในเมืองง่าย ลดการสลับเท้าระหว่างคันเร่งกับเบรก ไม่เมื่อยล้าขา
- เพิ่มระยะทางการขับขี่ไฟฟ้าได้มากขึ้น ได้พลังงานกลับคืน ทำให้รถวิ่งได้ไกลขึ้นอีกเล็กน้อย
- ช่วยยืดอายุการใช้งานผ้าเบรก เพราะเมื่อใช้งาน One-Pedal จะลดการเบรกจริง
ผู้ขับขี่รถยนต์ EV มือใหม่ ปรับตัวอย่างไร
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดที่ผู้ขับขี่รถยนต์ EV หน้าใหม่คือ คือการปรับตัว โดยต้องเหยียบคันเร่งค้างไว้ประมาณครึ่งหนึ่งเพื่อให้รถไหลไปเรื่อย ๆ เมื่อเริ่มยกเท้าออกจากคันเร่งถึงจุดหนึ่ง จะรู้สึกได้ถึงการชะลอความเร็วในทันที
- อยากให้รถไหล ก็ไม่ต้องยกเท้าออกหมด แค่เลี้ยงน้ำหนักคันเร่งไว้ ผ่อนคันเร่งเพื่อชะลอได้ตามต้องการ
- เรียนรู้จังหวะการเหยียบคันเร่ง “การยกเท้าออกจากคันเร่ง = การแตะเบรก” ซึ่งต้องใช้เวลาสร้างความคุ้นเคย
ถ้าหากขับขี่ด้วย One-Pedal จนชินแล้ว ผู้ขับขี่รถยนต์ EV ก็จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “การขับขี่สบายขึ้นเยอะ” ลองปรับตัวกันดู
ที่มา InsideEV