เกีย เซลส์ (ประเทศไทย) ได้เชิญทีมงาน iMoD ให้มาร่วมทดสอบการขับขี่และสัมผัสประสบการณ์ MPV รุ่นเรือธงอย่าง The new Kia Carnival HEV 7 ที่นั่ง ที่มีการดีไซน์ภายนอกและภายในใหม่ พร้อมล้ออัลลอย 19 นิ้วลายใหม่ ระบบส่งกำลังไฮบริดที่ทรงพลังและประหยัดน้ำมันที่ดียิ่งขึ้น ฟีเจอร์และระบบความปลอดภัยแบบจัดเต็ม ไปชมกันครับ
ประสบการณ์การขับขี่ The new Kia Carnival HEV รุ่น Premium ฟีเจอร์ครบ เบาะแถว 2 ถอดได้ ราคาเริ่มต้น 2.499 ล้านบาท
เกีย เซลส์ (ประเทศไทย) เปิดตัว The new Kia Carnival HEV 7-seater เอ็มพีวีรุ่นเรือธงโฉมใหม่อย่างเป็นทางการในประเทศไทยภายใต้คอนเซปต์ “Built for Every Move of Life” ยกระดับประสบการณ์การขับขี่รถอเนกประสงค์สำหรับครอบครัวยุคใหม่ เหนือชั้นยิ่งขึ้นด้วยสมรรถนะการขับขี่จากเครื่องยนต์เทอร์โบขนาด 1.6 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 54kW และเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ให้กำลังสูงสุด 245 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 367 นิวตันเมตร ทันสมัยยิ่งขึ้นด้วยดีไซน์ภายนอกโฉมใหม่ที่ผสานสไตล์ความเป็นรถ SUV และ MPV เข้าไว้ด้วยกัน และการออกแบบภายในที่ให้ความสปอร์ตแบบพรีเมียม และยกระดับการนั่งโดยสารให้เหนือระดับยิ่งขึ้น ด้วยฟังก์ชันใช้งานที่ครบครัน ตอบโจทย์ทุกบทบาทของชีวิตประจำวันและเคียงข้างช่วงเวลาสำคัญของทุกคนในครอบครัว สำหรับ The new Kia Carnival HEV 7-seater มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ได้แก่
- The new Kia Carnival HEV 7-seat Premium ราคา 2,499,000 บาท
- The new Kia Carnival HEV 7-seat Luxury ราคา 2,699,000 บาท
โดย เกีย เซลส์ (ประเทศไทย) พร้อมส่งมอบรถ และเปิดให้ทดลองขับ ณ โชว์รูมเกียทุกสาขาทั่วประเทศ ได้ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคมนี้ เป็นต้นไป
มิติตัวรถ
- ความยาว 5,155 มม.
- ความกว้าง 1,995 มม.
- ความสูง 1,785 มม.
- ระยะฐานล้อ 3,090 มม.
- ระยะห่างจากพื้น (Ground Clearance) 172 มม.
- ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว
- ยางขนาด 235/55 R19
ดีไซน์ภายนอก
ภายนอกมาพร้อมกับดีไซน์ที่ได้รับการปรับโฉมใหม่ให้มีความโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น โดดเด่นไม่ซ้ำใคร ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง สะท้อนทั้งความหรูหราและความแข็งแกร่งในสไตล์ SUV มาพร้อมฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่น่าสนใจ อาทิ กระจังหน้าแบบ ‘Tiger nose’ โคมไฟหน้าพร้อมไฟส่องสว่างแบบ LED ดีไซน์ดวงไฟทรงลูกบาศก์ แบบมัลติรีเฟล็กเตอร์ (รุ่น Premium) และแบบโปรเจคเตอร์ (รุ่น Luxury) ชุดไฟหน้าและไฟท้ายแบบ Star Map Lighting ดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเกีย และล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ ขนาด 19 นิ้ว นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับแร็คหลังคาที่ไม่เพียง ช่วยเสริมลุคความแข็งแกร่งแบบ SUV แต่ยังเป็นการเพิ่มความอเนกประสงค์ให้กับการใช้งานจริง (แร็คหลังคาสามารถรองรับน้ำหนักสูงสุดได้ถึง 100 กิโลกรัม) ช่วยปลดล็อกขีดจำกัดให้การเดินทางไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันของครอบครัวให้สะดวกสบายกว่าที่เคย และยังมาพร้อมประตูสไลด์ไฟฟ้า (Smart Power Sliding Door) และฝากระโปรงท้ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Power Tailgate) ที่ให้ความสะดวกสบายในการใช้งาน ด้วยระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติเมื่อเข้าใกล้ตัวรถโดยที่มีกุญแจ Smart Key อยู่ด้วย
สีภายนอกมีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่
- สีขาว (Snowflake White Pearl)
- สีเทา (Meteor Grey)
- สีดำ (Jet Black)
- สีน้ำเงิน (Astra Blue)
ดีไซน์ภายใน
ภายในห้องโดยสารของทั้ง 2 รุ่นย่อย มาพร้อม 7 ที่นั่ง แต่จะต่างกันที่วัสดุภายใน รุ่น Premium จะได้วัสดุหนังสังเคราะห์สีดำ ส่วนรุ่น Luxury จะได้วัสดุหนังสีทูโทน น้ำตาล – ดำ ภายในได้รับการออกแบบให้กว้างขวางและร่วมสมัยด้วยดีไซน์ใหม่ ประกอบด้วย หน้าจอโค้งแบบพาโนรามิก (Panoramic Curved Display) ที่ผสานรวมจอแสดงผลแบบคลัสเตอร์ขนาด 12.3 นิ้ว หน้าจออินโฟเทนเมนท์แบบสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว เข้าไว้ด้วยกันแบบไร้รอยต่อ มีระบบเชื่อมต่อ Android Auto™ และ Apple CarPlay® แบบไร้สายและฟังก์ชันสั่งงานด้วยเสียง
นอกจากนี้ ยังมีสวิตช์สำหรับสลับการควบคุมระบบอินโฟเทนเมนต์และระบบปรับอากาศที่ผสานการควบคุมทั้งระบบไว้บนอินเตอร์เฟซเดียวกัน (Infotainment & Climate Switchable Controller)
สำหรับรุ่น The new Kia Carnival HEV 7-seat Premium เบาะนั่งแถวสองเป็นเบาะแบบ Captain Seats ที่สามารถถอดออกได้เพื่อเพิ่มความอเนกประสงค์ในการใช้งาน และยังสามารถปรับเปลี่ยนตำแหน่งให้เป็นแบบนั่งหันหน้าเข้าหากันได้ ให้สมาชิกในครอบครัวได้มีปฏิสัมพันธ์กันได้ตลอดทริป
ทั้งนี้ The new Kia Carnival HEV 7-seat ยังคงโดดเด่นในเรื่องความกว้างขวางสำหรับทั้งผู้โดยสารและสัมภาระ รวมถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดเรียงที่นั่งผู้โดยสารที่มีความยืดหยุ่น โดยถือเป็นรถ MPV ที่รองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 7 ที่นั่ง พร้อมด้วยสัมภาระของทุกคนได้อย่างสะดวกสบายด้วยรถคันเดียว เบาะนั่งแถวสามมาพร้อมฟังก์ชันพับราบ ที่เป็นการสร้างพื้นที่บรรทุกแบบเรียบที่รวดเร็วและไม่ต้องใช้แรง ปรับเปลี่ยนได้ทันทีระหว่างความต้องการในการขนย้ายคนและขนส่งสินค้า
สมรรถนะและเทคโนโลยีการขับขี่
The new Kia Carnival HEV มาพร้อมระบบไฮบริด ประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร เทอร์โบ, เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ และมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลังสูงสุด 54 kW ทำให้มีกำลังรวมสูงสุด 245 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุด 367 นิวตันเมตร ความจุถังน้ำมัน 72 ลิตร ความจุแบตเตอรี่ 1.49 kWh อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 9.3 วินาที
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
- โดยรวม 15.9 กม./ลิตร
- ในเมือง 20.4 กม./ลิตร
- นอกเมือง 14.1 กม./ลิตร
นอกจากนี้ยังมอบประสบการณ์การขับขี่ที่นุ่มนวลและสบายยิ่งขึ้น ในโหมด Eco/Smart ผู้ขับสามารถใช้ Paddle Shift เพื่อปรับระดับการชะลอความเร็วของระบบ Regenerative Braking ได้ถึง 3 ระดับ และยังมีระบบสมาร์ทรีเจนเนอเรชัน (Smart Regeneration) ที่ตัวรถจะคำนวณเองให้อีกด้วย เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งคืนพลังงาน และการประหยัดเชื้อเพลิงในทุกการเดินทาง
ถ้าอยู่ในโหมด Sport การทำงานจะไม่ใช่การปรับระดับการชะลอความเร็ว แต่จะเป็นการทำงานปรับเปลี่ยนเกียร์แบบแมนนวล
ช่วงล่างด้านหน้า แมคเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง และช่วงล่างด้านหลัง มัลติลิงค์ คอยล์สปริง
ประสบการณ์การขับขี่ครั้งแรกกับ The new Kia Carnival HEV รุ่น Premium
ผมบอกได้เลยว่า The new Kia Carnival HEV เป็นรถที่เหมาะกับครอบครัวยุคใหม่ รองรับทุกขนาดครอบครัว ทั้งมีเด็ก, ครอบครัว 5-7 คน หรือ 3 รุ่นอยู่ร่วมกัน ที่เข้าได้กับทุกไลฟ์สไตล์ ทั้งเดินทางในเมือง, ออกทริปสุดสัปดาห์ หรือบรรทุกสิ่งของสำหรับครอบครัว
ตำแหน่งการขับขี่และการขับขี่เหมือนรถเก๋ง รถ SUV เพราะการขับขี่มีความคล่องตัวมาก ทำให้ตัวรถที่มีความยาวกว่า 5.1 เมตร ขับขี่ง่ายมาก ผู้หญิงหรือผู้ชายก็สามารถขับได้เช่นกัน
ในรุ่น Premium ที่ทางทีมงาน iMoD ได้ทดลองขับ ภายในจะเป็นวัสดุหนังสังเคราะห์ ผมว่าการสัมผัสไม่ได้แย่เลยครับ เบาะที่นั่งแถวที่ 2 จะเป็นที่นั่ง Captain Seat ที่ไม่ได้ปรับด้วยระบบไฟฟ้า จะเป็นการปรับเบาะแบบแมนนวลแทน แต่มีข้อดีกว่ารุ่น Luxury ตรงที่ เบาะที่นั่งแถวที่ 2 สามารถถอดได้ เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระสูงสุด และยังติดตั้งได้ 2 ทิศทาง นั่งเข้าหากันกับที่นั่งแถวที่ 3 ได้
ส่วนเรื่องช่วงล่าง ผมว่าเป็นช่วงล่างที่ขับสบาย มีความนุ่มไปในทางเฟิร์ม แต่ไม่แข็งกระด้าง ทำให้เดินทางไกลได้อย่างสบาย บวกกับระบบไฮบริด ที่มีความเงียบ ขับเหมือนรถไฟฟ้า ที่ไม่รู้สึกถึงเสียงเครื่องยนต์ทำงานหรือตัดการทำงาน ใช้มอเตอร์ทำงาน หรือทำงานร่วมกัน ไม่มีอาการกระตุกเลย ชนิดที่ว่าแบบไร้รอยต่อเลยทีเดียว