ใน ,

ไขข้อข้องใจ ทำไม Tesla แบตเตอรี่ลดลง ถึงแม้ว่าจอดรถอยู่

เจ้าของรถ Tesla มือใหม่หลายคนมักมีคำถามเกี่ยวกับการที่แบตเตอรี่รถยนต์มีการใช้พลังงานไปในขณะที่รถจอดอยู่เฉย ๆ (Phantom Drain) แม้ว่ารถ Tesla จะขึ้นชื่อเรื่องประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่ยอดเยี่ยม แต่ก็ยังมีการใช้พลังงานอยู่บ้าง จากฟีเจอร์บางอย่างที่เปิดใช้งานไว้ หรือจากระบบจัดการแบตเตอรี่ (Battery Management System – BMS) ของตัวรถเอง

ไขข้อข้องใจ ทำไม Tesla แบตเตอรี่ลดลง ถึงแม้ว่าจอดรถอยู่

BMS ที่มีหน้าที่สำคัญในการรักษาระดับอุณหภูมิของแบตเตอรี่ให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ถึงแม้ว่าเราไม่สามารถปิดใช้งานระบบนี้ได้ แต่เราสามารถตรวจสอบและปิดฟีเจอร์อื่น ๆ ที่ไม่จำเป็นและกินไฟในขณะจอดรถได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องจอดรถทิ้งไว้เป็นเวลานาน เช่น ตอนเดินทางไปเที่ยวพักผ่อน

มีฟีเจอร์ไหนบ้างที่ยังคงทำงานอยู่ในขณะที่รถจอด

สิ่งที่ควรทราบคือ ฟีเจอร์ส่วนใหญ่ที่ทำงานอยู่ขณะจอดรถนั้น จะมีระบบปิดการทำงานอัตโนมัติหากระดับแบตเตอรี่ของรถลดต่ำลงถึง 20% เพื่อป้องกันไม่ให้แบตเตอรี่หมด แต่การป้องกันนี้อาจไม่เพียงพอ ในกรณีที่เราจอดรถทิ้งไว้หลายวัน เนื่องจากระบบ BMS จะยังคงทำงานอยู่เพื่อปกป้องแบตเตอรี่

สามารถเช็คการใช้แบตเตอรี่ขณะจอดรถ ได้ที่ แอปพลังงาน (Energy) และเลือก จอด

1. โหมด Sentry (Sentry Mode)

โหมด Sentry ถือเป็นหนึ่งในฟีเจอร์ที่กินพลังงานแบตเตอรี่มากที่สุด แต่ก็เป็นหนึ่งในฟีเจอร์ที่มีประโยชน์มากที่สุดเช่นกัน โหมดนี้ช่วยปกป้องรถด้วยระบบรักษาความปลอดภัยผ่านกล้องวิดีโอรอบคันแบบ 360 องศา ซึ่งจะแจ้งเตือนและบันทึกภาพเหตุการณ์ หากตรวจพบสิ่งผิดปกติ

โหมด Sentry จะประมวลผลวิดีโอจากกล้องของรถยนต์สูงสุดถึง 6 ตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้คอมพิวเตอร์ Autopilot และกล้องต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้มีการใช้พลังงานสูง โดยเฉลี่ยแล้ว โหมด Sentry จะใช้พลังงานแบตเตอรี่เทียบเท่ากับระยะทางที่รถวิ่งได้ประมาณ 1.6 – 3.2 กม. ต่อชั่วโมง แต่ตัวเลขนี้อาจแตกต่างกันไปในรถแต่ละรุ่น

หากเทียบกับค่าเฉลี่ยที่คนทั่วไปขับรถประมาณ 51 กม. ต่อวัน หรือ 19,300 กม. ต่อปี เท่ากับว่าโหมด Sentry อาจใช้พลังงานคิดเป็นสัดส่วนถึงประมาณ 50% ของพลังงานที่ใช้ในการขับขี่ปกติ

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโหมด Sentry มีประโยชน์มาก แต่เราก็ควรเลือกใช้ในพื้นที่ที่อาจมีความเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมหรือความเสียหายสูง

สามารถเปิดหรือปิดโหมด Sentry ได้ที่ ควบคุม (Controls) > ความปลอดภัย (Safety) > โหมด Sentry (Sentry Mode)

นอกจากนี้ยังสามารถเปิดใช้งานโหมด Sentry บางครั้งได้โดยไปที่ ควบคุม (Controls) > โหมด Sentry (Sentry Mode) ซึ่งอาจจะเปิดใช้งานเฉพาะการจอดรถในบางสถานที่หรือบางเวลา

หรือจะตั้งค่าให้โหมด Sentry ให้ไม่ต้องทำงานในสถานที่ที่กำหนด เช่น ที่บ้าน ที่ทำงาน หรือสถานที่โปรด

โหมด Sentry ยังสามารถเปิดหรือปิดได้จากแอป Tesla ในมือถือ โดยไปที่ ความปลอดภัยและผู้ขับขี่ (Security & Drivers) > โหมด Sentry (Sentry Mode)

2. ระบบป้องกันความร้อนเกินในห้องโดยสาร (Cabin Overheat Protection)

ระบบป้องกันความร้อนเกินในห้องโดยสาร ช่วยป้องกันไม่ให้ภายในรถมีอุณหภูมิสูงจนเป็นอันตรายในวันที่อากาศร้อนจัด แม้ว่าระบบนี้ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรักษาความปลอดภัยของคนหรือสัตว์เลี้ยง แต่ก็ช่วยรักษาสิ่งของที่ไวต่ออุณหภูมิ อย่างเช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เก็บไว้ในรถให้อยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสมยิ่งขึ้น

สามารถตั้งค่าได้ที่ ควบคุม (Controls) > ความปลอดภัย (Safety) > ป้องกันความร้อนเกินในห้องโดยสาร (Cabin Overheat Protection) ซึ่งระบบนี้มี 3 ตัวเลือก ได้แก่ Off, No A/C, และ On

ตัวเลือก No A/C จะใช้พัดลมเพื่อหมุนเวียนอากาศภายในห้องโดยสาร เมื่ออุณหภูมิห้องโดยสารสูงเกิน 105°F (ประมาณ 40.5°C) โดยไม่เปิดเครื่องปรับอากาศ ตัวเลือกนี้ช่วยประหยัดพลังงาน และส่วนใหญ่มักจะช่วยป้องกันไม่ให้รถร้อนจนเกินไปได้ แต่กรณีที่จอดรถกลางแดดในวันที่อากาศร้อนจัดมาก ๆ อุณหภูมิภายในก็ยังอาจสูงถึง 130°F (ประมาณ 54°C) หรือมากกว่านั้นได้

ส่วนใหญ่ ตัวเลือกนี้ช่วยให้พวงมาลัยและเบาะที่นั่งเย็นลง และถือค่อนข้างสมดุลระหว่างการปิดระบบไปเลยกับการเปิดระบบให้ใช้พลังงานสูง

หากเลือก On จะเป็นการใช้เครื่องปรับอากาศ ผู้ใช้สามารถตั้งอุณหภูมิให้ระบบเริ่มทำงานได้ที่ 90°F (32°C), 95°F (35°C), หรือ 100°F (40°C) อุณหภูมิที่เลือกและอุณหภูมิภายนอก จะมีผลอย่างมากต่อปริมาณพลังงานที่ฟีเจอร์นี้ใช้ โดยเฉพาะในวันที่อากาศร้อนจัด

ป้องกันความร้อนเกินในห้องโดยสารไม่มีผลต่อความปลอดภัยหรือการทำงานของรถ และจะทำงานเพียง 12 ชม. หลังจากจอดรถ โดยทั่วไปแล้ว ไม่แนะนำให้เปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ตลอดเวลา ยกเว้นว่าเราอยู่ในวันที่อากาศร้อนทั้งวันหรือจำเป็นต้องใช้งานจริง ๆ

นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถเปิดหรือปิดระบบป้องกันห้องโดยสารร้อนจัด รวมถึงปรับอุณหภูมิการทำงานได้จากแอป Tesla โดยเลือก อุณหภูมิ (Climate) แล้วปัดขึ้น จากนั้นก็ตั้งค่าการป้งอกันความร้อนเกินในห้องโดยสารได้เลย

3. เปิดเครื่องอุปกรณ์เสริมไว้ (Keep Accessory Power On)

ฟีเจอร์นี้มีให้ใช้งานแล้วในรถทุกรุ่นตามการอัปเดต Spring Update 2025 โดย “เปิดเครื่องอุปกรณ์เสริมไว้” จะทำให้ช่องจ่ายไฟ 12V และพอร์ต USB ยังคงทำงานได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้โหมดแคมป์ (Camp Mode) ซึ่งรวมถึงที่ชาร์จโทรศัพท์ไร้สายก็จะยังใช้งานได้ด้วย ทำให้สามารถชาร์จอุปกรณ์อื่น ๆ  ได้แม้จะไม่ได้อยู่ในรถ แต่ตัวเลือกนี้ใช้พลังงานค่อนข้างมาก ถึงแม้ว่าจะไม่มีอุปกรณ์ใด ๆ เสียบอยู่ก็ตาม

สำหรับรถรุ่น Model Y และ Model X จะมีช่องจ่ายไฟ 12V อยู่ที่เสาหลังด้านซ้ายของรถ และอีกช่องหนึ่งที่ด้านหน้า

ส่วน Model 3 และ Model S จะมีช่องจ่ายไฟ 12V เฉพาะที่ด้านหน้ารถ สำหรับ Cybertruck ฟีเจอร์นี้จะทำให้ช่องจ่ายไฟ 120V และ 240V ที่ด้านหลังทำงานด้วยเช่นกัน

ผู้ใช้สามารถเปิดฟีเจอร์นี้ได้ โดยไปที่ ควบคุม (Controls) > การชาร์จ (Charging) > เปิดเครื่องอุปกรณ์เสริมไว้ (Keep Accessory Power On)

โดยปกติแล้วฟีเจอร์นี้จะถูกปิดไว้เป็นค่าเริ่มต้น แต่ถ้ามีการเปิดใช้งานไว้ ระบบจะปิดการทำงานเองเมื่อแบตเตอรี่รถยนต์เหลือ 20% หรือต่ำกว่า แต่หากแบตเตอรี่มีมากกว่า 20% ฟีเจอร์นี้จะยังคงทำงานอยู่

ดังนั้นการเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ ควรเปิดไว้เมื่อต้องได้ใช้งานจริง ๆ และควรปิดทันทีเมื่อไม่ใช้แล้ว มีหลายกรณีที่ผู้ใช้แก้ปัญหาแบตเตอรี่หมดเร็วได้หลังจากพบว่าตัวเลือกนี้ถูกเปิดทิ้งไว้

ลักษณะเดียวกันกับโหมด Sentry ฟีเจอร์นี้สามารถใช้พลังงานเทียบเท่าระยะทางที่รถวิ่งได้ประมาณ 1.6 กม. ต่อชั่วโมง เมื่อเปิดใช้งาน แม้จะไม่มีอุปกรณ์เสียบอยู่ และจะใช้พลังงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อยขณะชาร์จอุปกรณ์ ขึ้นอยู่กับชนิดของอุปกรณ์นั้น ๆ

4. โหมด Summon Standby

โหมด Summon Standby จะทำให้รถอยู่ในสถานะใช้พลังงานต่ำ หมายความว่าระบบ Autopilot ของรถจะอยู่ในโหมดพัก แต่ไม่ได้ปิดสนิท เมื่อรถได้รับคำสั่ง Summon หรือการเรียกให้รถเคลื่อนที่มาหาเจ้าของ รถก็จะพร้อมทำงานเกือบจะในทันที แทนที่จะต้องรอให้รถปลุกตนเองและเปิดระบบก่อน

หากไม่ได้เปิดโหมด Summon Standby  รถอาจใช้เวลาประมาณ 30 วินาทีถึงหนึ่งนาที เพื่อให้ฟังก์ชัน Summon พร้อมใช้งานผ่านแอป Tesla

ฟีเจอร์นี้มีให้ใช้เฉพาะในรถยนต์ที่มีระบบ Enhanced Autopilot (EAP) หรือ Full Self-Driving (FSD) เท่านั้น  และสามารถเปิดหรือปิดได้จาก ควบคุม (Controls) > Autopilot > โหมดพร้อมใช้งาน Summon (Summon Standby)

ฟีเจอร์นี้ไม่ได้ใช้พลังงานมากเท่าโหมด Sentry แต่ก็ใกล้เคียงกัน โดยสามารถใช้พลังงานเทียบเท่าระยะทางที่รถวิ่งได้ประมาณ 0.8 – 1.6 กม. ต่อชั่วโมง แต่ว่าไม่แนะนำให้เปิดฟีเจอร์นี้ทิ้งไว้ เว้นแต่ผู้ใช้จะมีการใช้ฟังก์ชัน Summon บ่อยครั้ง

หมายเหตุ: หากเปิดโหมด Sentry ไว้ ฟังก์ชัน Summon ก็จะพร้อมใช้งานทันทีเช่นกัน เนื่องจากคอมพิวเตอร์ Autopilot เปิดทำงานอยู่แล้วและรถไม่ได้เข้าสู่โหมดพัก

บริการจากภายนอก (Third-Party Services)

แอปพลิเคชันจากผู้พัฒนารายอื่นที่ติดตามข้อมูลรถผ่าน Tesla API อาจปลุกรถขึ้นมา หรือขัดขวางไม่ให้รถเข้าสู่โหมดพัก (Sleep Mode) อย่างเหมาะสม แม้ว่า Tesla จะได้ปรับปรุง API เพื่อป้องกันปัญหาเหล่านี้บางส่วนแล้ว แต่ฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดยังไม่พร้อมใช้งานสำหรับรถ Model S และ Model X รุ่นเก่า

บริการเหล่านี้จะทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัดก็ต่อเมื่อมีการขัดขวางไม่ให้รถเข้าสู่โหมดพัก ผู้ใช้สามารถตรวจสอบได้ว่ารถกำลังพักอยู่หรือไม่ โดยการเปิดแอป Tesla และดูสถานะของรถที่มุมบนซ้ายของหน้าจอ

5. การตั้งเวลาปรับสภาพอากาศล่วงหน้า (Scheduled Preconditioning)

ผู้ใช้สามารถตั้งเวลาให้รถปรับสภาพอากาศภายในห้องโดยสารล่วงหน้าโดยอัตโนมัติ ทำให้ผู้ใช้ได้เข้าไปในรถที่มีอุณหภูมินหรือเย็นสบายทุกเช้าและเย็น ซึ่งเหมาะกับผู้ที่มีตารางเวลาที่แน่นอน แต่ก็อาจเป็นสาเหตุให้แบตเตอรี่หมดเร็วขึ้นได้เช่นกัน

การปรับสภาพอากาศห้องโดยสารล่วงหน้า ไม่ว่าจะผ่านการตั้งเวลาหรือทำด้วยตนเองเป็นครั้งคราวผ่านแอป Tesla ยังช่วยอุ่นแบตเตอรี่ด้วย ซึ่งมีประโยชน์ในการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ Regenerative braking ในวันที่อากาศเย็น หรือช่วยให้การชาร์จไฟแบบ Supercharging เร็วขึ้นระหว่างการเดินทาง

หากเป็นไปได้ ควรเสียบปลั๊กไว้ขณะปรับสภาพอากาศล่วงหน้า เนื่องจากรถจะดึงพลังงานจากเต้ารับที่ผนังแทนที่จะดึงจากแบตเตอรี่รถยนต์ ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้ระยะทางที่รถวิ่งได้ลดลง แม้แต่การเสียบปลั๊กไฟบ้าน 120V ก็สามารถช่วยได้เช่นกัน

ผู้ใช้สามารถตรวจสอบหรือปรับเปลี่ยนเวลาการปรับสภาพอากาศล่วงหน้าที่ตั้งไว้ได้โดยไปที่ ควบคุม (Controls) > กำหนดเวลา (Schedule) ในรถ หรือไปที่เมนู กำหนดเวลา (Schedule) ในแอป Tesla ก็ได้

โหมดสภาพอากาศ: โหมดสุนัข (Dog Mode), โหมดแคมป์ (Camp Mode), และโหมดรักษาสภาพอากาศ (Keep Climate)

Tesla ยังมีตัวเลือกหลายอย่างเพื่อให้ระบบปรับอากาศภายในรถทำงานได้ หลังจากที่ผู้ขับขี่ออกจากรถแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการรักษาความอบอุ่นหรือความเย็น

หากต้องการเปิดหรือปิดการตั้งค่าเหล่านี้ ให้ปัดขึ้นจากสัญลักษณ์อุณหภูมิบนหน้าจอแสดงผลในรถขณะที่จอดรถอยู่ จากนั้นแตะที่ โหมดสุนัข (Dog Mode), โหมดแคมป์ (Camp Mode) หรือ รักษาสภาพอากาศ (Keep Climate)

โหมดสุนัข (Dog Mode)

โหมดสุนัข ถูกออกแบบมาเพื่อรักษาระดับอุณหภูมิที่สบายสำหรับสัตว์เลี้ยงในขณะที่เปิดใช้งาน ผู้ใช้สามารถตรวจสอบอุณหภูมิจากระยะไกลได้ รวมถึงมองเห็นภาพภายในห้องโดยสารผ่านกล้อง Cabin Camera ขณะที่โหมดสุนัขทำงานอยู่

โหมดนี้ยังแสดงอุณหภูมิปัจจุบันของห้องโดยสารบนหน้าจอกลาง เพื่อแจ้งให้ผู้ที่เดินผ่านไปมาทราบว่าสัตว์เลี้ยงปลอดภัยดี

ข้อควรทราบ: โหมดสุนัขจะปิดการใช้งานปุ่มเปิด – ปิดกระจกหน้าต่างภายในรถ

โหมดแคมป์ (Camp Mode)

เมื่อเปิดโหมดแคมป์ รถจะสามารถจ่ายไฟให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ผ่านพอร์ต USB ในขณะที่ยังคงรักษาระดับอุณหภูมิห้องโดยสาร หน้าจอสัมผัสจะยังคงเปิดอยู่ ทำให้ผู้ใช้ใช้ชีวิตอยู่ในรถได้ สามารถฟังเพลง เล่นเกม หรือดูภาพยนตร์ได้

รวมถึงประตูรถจะยังคงปลดล็อกอยู่ และฟีเจอร์ล็อกประตูอัตโนมัติเมื่อเดินออกห่างจากรถจะถูกปิดใช้งาน โหมดนี้เหมาะสำหรับเวลาที่ผู้ใช้ต้องออกจากรถ โดยยังมีคนอื่นอยู่ในรถ หรืออยู่บริเวณใกล้เคียงไม่ห่างจากรถ และต้องการให้ประตูปลดล็อกอยู่ ระบบกันขโมยไม่ทำงาน

โหมดรักษาสภาพอากาศ (Keep Climate)

โหมดรักษาสภาพอากาศจะรักษาระดับอุณหภูมิของรถตามที่ผู้ใช้ตั้งไว้ในขณะที่ผู้ใช้ออกไปทำธุระ ฟีเจอร์อื่น ๆ ทั้งหมดจะยังคงทำงานตามปกติ เช่น การล็อกประตูอัตโนมัติ

ตัวเลือกนี้เหมาะสำหรับกรณีที่ผู้ใช้ออกจากรถไปไม่ไกล เช่น ต้องรีบเข้าไปรับลูกที่โรงเรียนหรือสถานรับเลี้ยงเด็ก และยังต้องการให้ภายในรถเย็นสบายโดยไม่ต้องเสียเวลาเปิดระบบทำความร้อนหรือความเย็นล่วงหน้า

โหมดรักษาสภาพอากาศจะทำงานต่อเนื่องได้นานสูงสุด 2 ชั่วโมง หรือจนกว่าแบตเตอรี่จะเหลือ 20% ดังนั้นจึงไม่ใช่สาเหตุของการสิ้นเปลืองแบตเตอรี่ในระยะยาว

ปัญหาแบตเตอรี่หมดเร็ว

แม้ว่ารถยนต์ Tesla จะมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่มีประโยชน์มากมาย แต่สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าฟีเจอร์ใดบ้างที่ใช้พลังงานแม้ในขณะที่จอดรถอยู่ ดังนั้นควรเลือกใช้ฟีเจอร์เหล่านี้เมื่อจำเป็นเท่านั้น แทนที่จะเปิดทิ้งไว้ตลอด 24 ชม. ทุกวัน เพราะฟีเจอร์เหล่านี้จะยังคงกินไฟต่อเนื่อง แม้ในเวลากลางคืนที่ไม่ได้ใช้งานรถ

ก็ลองปรับตั้งค่าตามความเหมาะสมในการใช้งาน หรือจะเลือกปิดใช้งานบางฟีเจอร์ในเวลาที่เดินทางไกลหรือต้องการประหยัดแบตเตอรี่

ที่มา notateslaapp

แสดงความคิดเห็น

เขียนโดย Sakura P.