ใน

สรุปผลงาน BYD 9 เดือน รายได้ทุบสถิติ, R&D แซงกำไร, ยอดขายทั่วโลกพุ่ง

BYD รายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2025 โดยมีรายได้สูงถึง 566.27 พันล้านหยวน (ประมาณ 2.58 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และสร้างสถิติใหม่สำหรับช่วงเวลาดังกล่าว

สรุปผลงาน BYD 9 เดือน รายได้ทุบสถิติ, R&D แซงกำไร, ยอดขายทั่วโลกพุ่ง

รายได้ในไตรมาสที่ 3 อยู่ที่ 194.99 พันล้านหยวน (ประมาณ 8.87 แสนล้านบาท) และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 7.82 พันล้านหยวน (ประมาณ 3.56 หมื่นล้านบาท) ซึ่งเพิ่มขึ้น 23% จากไตรมาสที่ 2 นอกจากนี้ อัตรากำไรขั้นต้นยังดีขึ้น 1.6% ตามรายงานของ Securities Daily

ในช่วง 3 ไตรมาสแรก ค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ของ BYD สูงถึง 43.75 พันล้านหยวน (ประมาณ 1.99 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้น 31% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ที่น่าสนใจคือ ตัวเลขนี้สูงกว่ากำไรสุทธิในช่วงเวลาเดียวกันถึง 23.33 พันล้านหยวน (ประมาณ 1.06 แสนล้านบาท)

ปัจจุบัน BYD ยังคงเป็นผู้ผลิตรถยนต์ในตลาดหุ้น A-share (ตลาดหุ้นจีน) ที่ใช้จ่ายด้าน R&D สูงที่สุด โดยมีการลงทุนสะสมในด้านนี้ทะลุ 220 พันล้านหยวน (ประมาณ 1 ล้านล้านบาท) ไปแล้ว

บริษัทรายงานยอดขายรถยนต์ทั่วโลก 3.26 ล้านคันในช่วง 9 เดือนแรก เพิ่มขึ้น 18.64% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งคิดเป็น 70.87% ของเป้าหมายยอดขายประจำปีที่ตั้งไว้ 4.6 ล้านคัน

นอกจากนี้ รถยนต์รุ่นที่ติดตั้งระบบช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะ God’s Eye ของบริษัท ก็มียอดขายสะสมจนถึงปัจจุบันกว่า 1.7 ล้านคันแล้ว

ในตลาดต่างประเทศ BYD ส่งมอบรถยนต์ 701,600 คัน ในช่วงเดือนมกราคมถึงกันยายน ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 132% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยขยายตลาดไปแล้ว 117 ประเทศและภูมิภาค ทำให้ยอดส่งออกสะสมทะลุ 700,000 คัน และบรรลุเป้าหมายการเพิ่มยอดขายในต่างประเทศเป็น 2 เท่าของปีนี้ล่วงหน้าก่อนกำหนด และเมื่อนับเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าล้วน BYD ขายได้ 1.61 ล้านคัน เทียบกับ 1.22 ล้านคันที่ Tesla รายงานในช่วงเวลาเดียวกัน

เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม BYD ได้ผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) คันที่ 14 ล้าน ที่โรงงานในประเทศบราซิล ซึ่งในงานนี้ ประธานาธิบดี Luiz Inácio Lula da Silva ของบราซิล ก็ได้เป็นเจ้าของรถยนต์รุ่น Song Pro ด้วย

นอกจากนี้ ในงาน Tokyo Motor Show ที่ผ่านมา BYD ได้เปิดตัวรถยนต์ขนาดเล็ก (K-car) รุ่น BYD Racco สำหรับตลาดญี่ปุ่นโดยเฉพาะ และยังได้เปิดตัวรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกสำหรับตลาดญี่ปุ่น นั่นคือ Sealion 6 DM-i SUV ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณกลยุทธ์การขายแบบไฟฟ้าล้วน + ไฮบริด คู่ขนานกันในญี่ปุ่น

เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของทางการที่ต้องการให้ลดระยะเวลาการชำระเงินแก่ซัพพลายเออร์ BYD ได้ประกาศในเดือนมิถุนายนว่าจะกำหนดมาตรฐานเงื่อนไขการชำระเงินให้เสร็จสิ้นภายใน 60 วัน โดยรายงานในไตรมาสที่ 3 แสดงให้เห็นว่า ทั้งบัญชีเจ้าหนี้การค้าและตั๋วเงินจ่ายของบริษัทลดลง รวมถึงระยะเวลาการชำระเงินเฉลี่ยให้กับซัพพลายเออร์ก็สั้นลงอีกด้วย

บรรดาธนาคารเพื่อการลงทุนระหว่างประเทศยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่ออนาคตของ BYD โดยงานวิจัยล่าสุดของ Citigroup คาดการณ์ว่ายอดขายของ BYD จะสูงถึง 4.67 ล้านคันในปี 2025 และ 5.39 ล้านคันในปี 2026 โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากการเติบโตของแบรนด์ในตลาดพรีเมียม, เทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด, กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และการขยายตัวอย่างรวดเร็วในต่างประเทศ

ที่มา carnewschina

แสดงความคิดเห็น

เขียนโดย Sakura P.