ใน ,

BYD ทำยอดขายแซงหน้าผู้นำตลาดโลก EV อย่าง Tesla ไตรมาส 4 ในปี 2023

BYD สามารถโค่นบัลลังก์ผู้นำ EV อย่าง Tesla ได้ด้วยยอดขายที่มากกว่าในไตรมาสที่ 4 ในปี 2023 และยังมีแนวโน้มสูงที่จะสามารถทำยอดขายรถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุดในโลกได้ในปี 2024 นี้

BYD ทำยอดขายแซงหน้าผู้นำตลาดโลก EV อย่าง Tesla ไตรมาส 4 ในปี 2023

โดยทาง BYD ออกมาประกาศยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า 100% ได้ทั้งหมด 526,409 คัน ในขณะที่ Tesla ได้ส่งมอบรถไปทั้งหมด 484,507 คัน อีกทั้งทั้งสองบริษัทสามารถทำยอดได้มากกว่ายอดคาดการณ์ในปีที่แล้วอีกด้วย BYD ทำยอดขายรถยนต์ไปได้ 3 ล้านคัน และ Tesla ทำยอดขายได้ 1.8 ล้านคันในปี 2023

BYD ทำการบันทึกสถิติยอดขายรวมในไตรมาสที่ 4 ด้วยยอดขายรถยนต์ทั้งหมด 942,651 คัน โดยเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) สัดส่วน 55% และรถยนต์ไฮบริด (PHEVs) ได้ 45% โดยที่ทางบริษัทได้ยกเลิกรถยนต์เครื่องสันดาป (ICE) ไปตั้งแต่ปี 2022

ผู้ผลิตรถยนต์ที่เมืองเซินเจิ้นทำยอดขายไปได้มากกว่า 3,023,679 คัน เพิ่มขึ้นมา 62% จากปี 2022 โดยที่ 52% เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) ขณะที่ Tesla ส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด 1,808,581 ในปี 2023 ขึ้นมา 38% จาก 1,313,851 คันในปีที่แล้ว ถ้าสรุปยอดสะสมทั้งหมดในปี 2023 Tesla ยังคงครองบัลลังก์ยอดขายรวมไปได้ อย่างไรก็ตาม BYD มีแนวโน้มว่าจะสามารถขึ้นไปเป็นผู้นำได้ไม่ยากในปี 2024 นี้

BYD ได้เริ่มบทบาทโดยการเป็นบริษัทผลิตแบตเตอรี่มาก่อน และได้เริ่มเข้าสายการผลิตรถยนต์ในช่วงกลางปี 2000 และได้รับการหนุนหลังจากมหาเศรษฐีอย่าง Warren Buffet ทำให้แบรนด์ BYD มักจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับ Tesla มาโดยตลอดและมักจะถูกเรียกว่าเป็นเหมือน Tesla อย่างเลี่ยงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งสองค่ายนี้ก็ไม่อาจทำให้แตกต่างกันได้มากนัก เนื่องจากตัวสินค้าและรวมถึงปรัชญาของแบรนด์ที่ใกล้เคียงกัน ตัวอย่างเช่น ทาง Tesla ใช้การขายรถยนต์ไฟฟ้าด้วย Online direct sales ส่วน BYD ต้องอาศัย Dealer Network หรือเครือข่ายของตัวแทนจำหน่ายและตลาดในประเทศจีน

แม้ว่าเสียงส่วนใหญ่จะบอกว่าการขายผ่านดีลเลอร์จะเป็นเพียงแค่ Concept ในอดีตเท่านั้น แต่ทาง BYD ก็ยังสามารถเอาใจผู้ขาย Third-party ส่วนใหญ่ได้ ยกตัวอย่างเช่น ทางผู้ผลิตรถยนต์จะมอบส่วนลดถึง 2 พันล้านหยวน (หรือประมาณ 280 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ให้กับดีลเลอร์ ถ้าสามารถทำยอดขายรวมทั้งหมดได้ถึงตามเป้าที่บริษัทกำหนดนั่นก็คือ 3 ล้านคันในปี 2023 โดยยอดขายรถแต่ละคันในปีที่แล้ว ทางร้านจะได้รับ 666 หยวน ต่อคัน (ประมาณ 3,200 บาทไทยต่อคัน)

ในเรื่องของ Interior รถยนต์ของ BYD นั้นต่างจาก Tesla โดยที่ทาง BYD จะคงความเป็นรถยนต์แบบเดิมอยู่โดยที่มีปุ่มกดและการตั้งค่าต่าง ๆ ที่สะดวก ไม่เหมือน Tesla ที่เรียบง่ายและจบด้วยการสั่งการทั้งหมดผ่านทางจอกลาง ส่วนถ้าพูดถึงระบบ ADAS ระบบคอมพิวเตอร์ และการขับขี่แบบไร้คนขับ ของ BYD อาจจะยังไม่ได้เป็นระดับสูงมากนัก เพราะทาง R&D ของ BYD ส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่แบตเตอรี่ การผลิตของตัวรถ ระบบขนส่ง และบริษัทประกันรถยนต์มากกว่า

Wang Chuanfu CEO ของ BYD มีหลายอย่างที่คล้ายกับ Elon Musk ด้วยการที่ต้องพยายามลดต้นทุน ผลักดันให้ได้ประสิทธิภาพที่สูง และทำให้รถยนต์ไฟฟ้าที่ขายมีราคาต่ำลงเท่าที่จะทำได้ ล่าสุด BYD ส่งคู่แข่งโดยตรงของ Tesla Model Y อย่าง BYD Song L ที่ได้รับการลดราคาทันทีในช่วงเปิดตัวถึง 30,000 หยวน (ประมาณ 147,000 บาทไทย)

โดย BYD Song L รถยนต์ไฟฟ้า 100% แบบ SUV ทำราคาก่อนขายที่ 219,900 หยวน (ประมาณ 1,060,000 บาทไทย) ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา แต่หลังจากเปิดตัวแล้วในเดือนธันวาคมก็ทำราคาเริ่มต้นได้ 189,900 หยวน (ประมาณ 930,000 บาทไทย)

BYD Song L สามารถทำระยะที่วิ่งได้หลังชาร์จเต็ม 662 กิโลเมตร (CLTC) พร้อมมอเตอร์คู่ที่ให้แรงม้าสูงสุดมาที่ 517 แรงม้า

ในปี 2024 BYD จะทำการผลักดันไปยังตลาดใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยทำ และบริษัทได้เปิดตัวแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าเปิดใหม่ 2 แบรนด์ด้วยกัน นั่นก็คือ YangWang และ Fang Cheng Bao ซึ่งจะใช้รูปแบบการขายแบบ Direct Sale และ Sale Network ของตนเอง

ทางแบรนด์ คอมเฟิร์มว่าได้ทำการเปิดโชว์รูม 154 แห่งทั้งหมด 84 เมืองภายในปี 2023 ขณะที่ YangWang วางแผนเปิดโชว์รูมถึง 90 ที่ทั้งหมด 40 เมืองก่อนสิ้นปี 2023 แต่ยังไม่มีการคอนเฟิร์มว่าทางแบรนด์สามารถทำได้ถึงเป้าแล้วหรือยัง

นอกจากนี้ BYD ยังทำการเริ่มลงทุนใน ADAS ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูงและระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติมากขึ้น จากเดิมที่เคยพึ่งการพัฒนาระบบของ Baidu Apollo

อย่างไรก็ตามการแข่งขันที่เข้มข้นเรื่องยอดขายและความนิยมของทั้งสองแบรนด์ก็เป็นสิ่งที่น่าจับตามองอย่างมากในปี 2024 นี้

ที่มา Carnewschina

แสดงความคิดเห็น

เขียนโดย Nuttanon P.