BYD ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากจีน กำลังจะเปิดตัวรถ SUV ขนาด 7 ที่นั่งในออสเตรเลีย เพื่อเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Mazda CX-80 และ Toyota Kluger แต่ยังไม่มีการยืนยันว่ารถรุ่นดังกล่าวจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV) หรือรถยนต์ไฮบริด (Hybrid) และยังไม่แน่ชัดว่าจะใช้พื้นฐานจากรถรุ่นใด
BYD ยืนยัน เตรียมส่งรถ SUV 7 ที่นั่ง รุ่นพวงมาลัยขวา (RHD) ลงตลาดออสเตรเลีย Tang L มีลุ้น!
EVDirect ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ BYD ในออสเตรเลีย ได้เปิดเผยว่า BYD มีแผนที่จะเปิดตัวรถ SUV 7 ที่นั่งรุ่นแรกในออสเตรเลียภายในสิ้นปีนี้ เพื่อแข่งขันกับเจ้าตลาดอย่าง Hyundai Santa Fe และ Toyota Kluger
แต่ยังไม่มีการยืนยันว่ารถรุ่นใหม่นี้จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าล้วน หรือเป็นแบบปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid) และยังไม่ชัดเจนว่าจะนำรถรุ่นใดที่มีขายในประเทศจีนมาพัฒนาต่อยอดหรือไม่
ปัจจุบัน BYD มีรถ SUV 7 ที่นั่งวางจำหน่ายในจีนเพียง 2 รุ่น คือ Tang และ Tang L โดยรุ่น Tang ถือเป็นรถรุ่นเก่าซึ่งไม่น่าจะถูกนำมาพัฒนาสำหรับตลาดพวงมาลัยขวา ในขณะที่ Tang L เป็นรถรุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวในต่างประเทศ จึงอาจจะมีความเป็นไปได้มากกว่า
สำหรับชื่อที่จะใช้ในการทำตลาดที่ออสเตรเลียนั้น อาจมีการตั้งชื่อใหม่ให้เหมาะสมกับตลาดท้องถิ่นมากขึ้น เหมือนกับที่ BYD Atto 3 ซึ่งในประเทศจีนใช้ชื่อว่า Yuan Plus
ความต้องการรถยนต์ 7 ที่นั่งในตลาด
David Smitherman ซีอีโอของ EVDirect ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อยานยนต์ Drive ว่า “ผมขอยืนยันอย่างเป็นทางการว่าผมต้องการรถ 7 ที่นั่ง และผมพูดมาตลอดว่าเราต้องให้ความสำคัญกับรถประเภท SUV และรถกระบะ แบรนด์อื่น ๆ ต่างก็มีรถ 7 ที่นั่งกันทั้งนั้น เราจึงจำเป็นต้องมีบ้าง 100%”
เมื่อถูกถามย้ำว่า BYD Australia จะเปิดตัวรถ SUV 7 ที่นั่งใช่หรือไม่ เขาตอบว่า “ใช่” และกล่าวเสริมว่า “มันจะเป็นรถรุ่นใหม่ และหวังว่าจะมาทันภายในปีนี้ แต่ก็ยังไม่แน่นอน”
ส่วนเรื่องชื่อรุ่นนั้น David Smitherman เผยว่า ณ ช่วงเวลาที่ให้สัมภาษณ์ (ต้นปี 2025) บริษัทยังคงอยู่ในระหว่างการตัดสินใจ นอกจากนี้ เขายังยืนยันว่า BYD จะมีรถยนต์ในตระกูล Sealion เพิ่มเติมอีก หลังจากที่เปิดตัว Sealion 6 (PHEV) และ Sealion 7 (BEV) ไปแล้ว และรถรุ่นใหม่ ๆ ก็จะมีให้เลือกทั้งแบบไฮบริดและไฟฟ้าเช่นกัน
สเปคที่เป็นไปได้ของ BYD Tang L
หากรถรุ่นใหม่นี้มีพื้นฐานมาจาก BYD Tang L จะมีขนาดตัวถัง ยาว 5,040 มม. กว้าง 1,996 มม. และสูง 1,970 มม. ซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกับ Toyota Kluger, Hyundai Palisade, Mazda CX-80 (PHEV) หรือแม้แต่ Kia EV9 (BEV)
สำหรับราคาจำหน่ายในประเทศจีนอยู่ที่ประมาณ 229,800 – 289,800 หยวน (ประมาณ 1,150,000 – 1,450,000 บาท) แต่หากนำเข้ามาจำหน่ายในออสเตรเลีย คาดว่าจะมีราคาสูงกว่านี้
เทคโนโลยีและขุมพลังที่น่าสนใจ
รุ่นพิเศษ Drone Player Edition: ในประเทศจีนมีรุ่นพิเศษที่มาพร้อมกับฐานโดรนบนหลังคา สามารถเปิดออกเพื่อปล่อยโดรนที่บินขึ้น – ลงได้ขณะรถวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 25 กม./ชม.
โดรนสามารถบินติดตามรถได้ที่ความเร็วสูงสุด 54 กม./ชม. พร้อมบันทึกวิดีโอความละเอียด 4K และหลบหลีกสิ่งกีดขวางได้เอง แต่คาดว่ารุ่นนี้จะไม่ถูกนำเข้ามาจำหน่ายในออสเตรเลีย
รุ่นปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ใช้แบตเตอรี่ขนาด 35.6 kWh สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้ระยะทาง 175-215 กม. (ตามมาตรฐาน CLTC) ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 1.5 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้า 1 หรือ 2 ตัว (ขึ้นอยู่กับว่าเป็นรุ่น FWD หรือ AWD) มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเมื่อแบตเตอรี่หมดอยู่ที่ 4.9 – 6.0 ลิตร/100 กม. และสามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้เร็วสุดใน 4.3 วินาที (ในรุ่น AWD)
รุ่นไฟฟ้าล้วน (BEV) มีให้เลือกทั้งแบบมอเตอร์เดี่ยว RWD และมอเตอร์คู่ AWD มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 100.5 kWh โดบ BYD เคลมว่ามีกำลังสูงถึง 500 kW (RWD) และ 810 kW (AWD) แต่อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ 6.9 และ 3.9 วินาที ตามลำดับ
เทคโนโลยีการชาร์จและระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่
Tang L รองรับการชาร์จเร็ว DC ด้วยกำลังไฟสูงสุดถึง 1,000 kW ซึ่งสามารถชาร์จจาก 10% – 70% ได้ในเวลาเพียง 6 นาที เมื่อชาร์จกับเครื่องชาร์จที่รองรับในจีน ในขณะที่สถานีชาร์จเร็วในออสเตรเลียส่วนใหญ่ยังจ่ายไฟได้ไม่เกิน 350 kW
ส่วนระยะทางวิ่งของรุ่นไฟฟ้าล้วนอยู่ที่ 600 – 670 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (ตามมาตรฐาน CLTC)
สำหรับฟีเจอร์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่ หน้าจอกลางแบบหมุนได้ขนาด 15.6 นิ้ว, หน้าปัดคนขับขนาด 10.25 นิ้ว, จอแสดงข้อมูลบนกระจกหน้า (HUD), ระบบช่วงล่างแบบปรับได้, เบาะหนัง, ระบบระบายอากาศและทำความร้อนสำหรับเบาะคู่หน้า และระบบปรับอากาศแบบ 3 โซน
นอกจากนี้ ในรุ่นที่จำหน่ายในจีนยังมาพร้อมเทคโนโลยี God’s Eye ซึ่งเป็นระบบช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูง ประกอบด้วยเซ็นเซอร์ LiDAR บนหลังคา, เรดาร์ 5 ตัว, กล้อง 12 ตัว และเซ็นเซอร์อัลตราโซนิก 12 ตัว ทำให้รถสามารถขับเคลื่อนกึ่งอัตโนมัติในเมืองหรือบนทางด่วนได้ (ภายใต้การควบคุมของผู้ขับขี่)
โอกาสเข้ามาทำการตลาดในไทย
คาดว่าจะมีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถ SUV 7 ที่นั่งรุ่นใหม่ของ BYD ภายในปีนี้ ก็ต้องรอติดตามกันต่อไปว่า หากมีการเปิดตัวในประเทศออสเตรเลียที่ใช้รถพวงมาลัยขวา (RHD) แล้ว ในประเทศไทยจะมีโอกาสนำเข้ามาทำการตลาดด้วยหรือไม่ แต่ก็อาจจะเป็นไปได้สูง เนื่องจากรถที่เปิดตัวในออสเตรเลีย มักจะทำการตลาดในไทยด้วย
ที่มา drive