หลายคนสงสัยว่ารถยนต์ไฟฟ้า 100% (EV) รักษ์โลกจริงหรือไม่ ? รถ EV สร้างมลพิษระหว่างการผลิตมากกว่ารถยนต์สันดาป (ICE) ? ในระยะยาวรถยนต์ประเภทไหนสร้างมลพิษมากกว่ากันวันนี้เรานำสถิติและตัวเลขจากสํานักงานสถิติแห่งออสเตรเลีย (ABS) มาวัดให้ได้เห็นกันครับ
รถ EV สร้างมลพิษมากกว่ารถยนต์ ICE จริงไหม?
ไม่ว่าคุณจะขับรถยนต์ไฟฟ้าหรือกำลังตัดสินใจที่จะเปลี่ยนมาใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า คุณอาจจะเกิดคำถามว่ารถยนต์ไฟฟ้านั้นช่วยลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมได้จริง ๆ หรือไม่ ?
รถยนต์ไฟฟ้าคือว่าเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยลดมลพิษทางอากาศได้ ด้วยจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าบนท้องถนนคิดเป็นเกือบ 20% และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้น ด้วยความสงสัยเหล่านี้เราได้นำสถิติและตัวเลขมาเปรียบเทียบให้ได้เห็นกันไปเลยครับ
เราได้เปรียบเทียบระหว่างรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์เครื่องสันดาปเพื่อสังเกตการปล่อยมลพิษ เริ่มตั้งแต่การผลิตไปจนกระทั่งตัวรถสิ้นสภาพและผ่านการกำจัดให้ชมกันครับ
โดยรถยนต์ทั้ง 2 ประเภท จะมีหัวข้อการเปรียบเทียบทั้งหมดดังนี้ :
- ขั้นตอนการผลิตรถยนต์ที่โรงงาน
- การผลิตแบตเตอรี่โดยเฉพาะสําหรับรถยนต์ไฟฟ้า
- วัดมลพิษระหว่างการขับตลอดที่ยังใช้งานได้ ไม่ว่าจะด้วยน้ํามันหรือไฟฟ้า
- การกําจัดและการรีไซเคิลยานพาหนะเมื่อสิ้นสุดอายุการใช้งาน รวมถึงแบตเตอรี่
เราจะเปรียบเทียบรถยนต์ไฟฟ้าในรัฐต่าง ๆ ในออสเตเรียด้วย เนื่องจากแต่ละรัฐใช้เชื้อเพลิงในปริมาณที่แตกต่างกันสําหรับไฟฟ้า ซึ่งส่งผลต่อความสะอาดของรถด้วย
เพื่อเปรียบเทียบรถยนต์ เราได้เลือกรถ SUV ขนาดกลางโดยเฉลี่ย ซึ่งเป็นรถประเภทที่คุณมักเห็นบนถนนในออสเตรเลีย ตัวอย่างบางส่วนจากรถ SUV ขนาดกลาง ได้แก่ Tesla Model Y (ไฟฟ้า), RAV4 ของ Toyota และ Mazda CX-5 ในเครื่องยนต์น้ำมัน มาชมการเปรียบเทียบกันครับ
เริ่มจากตั้งแต่รถยนต์เริ่มผลิตที่โรงงาน
โรงงานครอบคลุมการผลิตชิ้นส่วนตั้งแต่โครงรถ, ภายใน, ยาง, เบาะนั่ง, และอื่น ๆ โดยในขั้นตอนเหล่านี้จะเห็นได้ว่ารถยนต์ไฟฟ้า EV และรถยนต์สันดาปปล่อยมลพิษใกล้เคียงกัน
หากเพิ่มการผลิตแบตเตอรี่ไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า EV
ในขั้นตอนการผลิตแบตเตอรี่ไฟฟ้าเป็นขั้นตอนที่เราเริ่มเห็นความแตกต่างระหว่างรถยนต์สันดาปและรถยนต์ไฟฟ้าได้ชัดเจน เพราะรถยนต์ไฟฟ้าใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ ดังนั้นแบตเตอรี่จึงใหญ่และหนักกว่ามาก และใช้แร่ธาตุที่สําคัญมากกว่า ยิ่งเป็นรถ SUV ไฟฟ้าก็จำเป็นจะต้องใช้แบตเตอรี่ที่ใหญ่กว่ารถแฮทช์แบคขนาดเล็ก
แบตเตอรี่ที่ผลิตในประเทศจีนมีการปล่อยมลพิษสูงกว่าแบตเตอรี่ที่ผลิตในยุโรป และเนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าของออสเตรเลียส่วนใหญ่ในปัจจุบันก็เป็นแบตเตอรี่ที่ผลิตในจีนทั้งนั้น
ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศและแม้แต่คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ล่าสุดคาดว่าตัวเลขเหล่านี้จะลดลงเนื่องจากมีการใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเพื่อผลิตแบตเตอรี่ “ดังนั้นพลังงานที่จําเป็นในการผลิตแบตเตอรี่จึงถูกลดการปล่อยคาร์บอน ดังนั้นจึงมีการปล่อยมลพิษต่ำกว่า” Robin Smit นักวิจัยด้านการขนส่งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีซิดนีย์กล่าว
ดังนั้น ณ จุดนี้ ก่อนที่รถยนต์จะออกสู่ถนน รถยนต์ไฟฟ้าจะมีการปล่อยมลพิษที่ฝังอยู่มากขึ้น
แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อคุณเริ่มขับรถ…
มลพิษจากการขับรถจนสิ้นสุดอายุการใช้งาน
แน่นอนว่าการปล่อยมลพิษตลอดอายุการใช้งานของรถยนต์ส่วนใหญ่มาจากการขับ “โดยพลังงานเชื้อเพลิงเป็นส่วนที่สําคัญที่สุดของการประเมินวงจรชีวิตของรถ ซึ่งรวมถึงการขับขี่บนถนน การบํารุงรักษา และแน่นอนการปล่อยพลังงานของรถทั้ง 2 ประเภท” ศาสตราจารย์ Smit กล่าวไว้
สํานักงานสถิติแห่งออสเตรเลีย (ABS) ประมาณการว่ารถยนต์โดยเฉลี่ยของออสเตรเลียขับได้ประมาณ 12,600 กิโลเมตรต่อปี หรือ 189,000 กิโลเมตรตลอดอายุการใช้งาน ดังนั้นนั่นคือสิ่งที่ใช้ในการสร้างแบบจําลองนี้
รถยนต์สันดาปใช้พลังงานจากการเผาไหม้น้ํามัน ซึ่งปล่อยการปล่อยมลพิษสู่ชั้นบรรยากาศเป็นตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สําคัญ สิ่งเหล่านี้เรียกว่า “การปล่อยท่อไอเสีย”
รถยนต์ SUV น้ำมันของเราทดสอบวัดผลการปล่อยคาร์บอนได้ 46 ตัน จากการขับขี่ตลอดจนรถสิ้นสภาพการ
“เมื่อคุณดูเชื้อเพลิงฟอสซิล พวกมันจําเป็นต้องถูกสกัด แปรรูป และขนส่งไปยังสถานีบริการ เช่น เพื่อให้พร้อมใช้งาน ดังนั้นจึงมีต้นทุนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งสิ้น” ศาสตราจารย์ Smit กล่าว”
อัตราประโภคเชื้อเพลิงเฉลี่ยอยู่ที่ 8.3 ลิตร/100 กม. ตามมาตราฐาน WLTP (Worldwide Harmonised Light Vehicle Test Procedure) โดยตัวเลขเหล่านี้มักจะน้อยกว่าการใช้งานจริงเสมอ
“รถน้ำมันจะใช้น้ำมันไปกว่าประมาณ 70 ถึง 80% ของพลังงานสูญเปล่าไปกับความร้อน ดังนั้นคุณใช้พลังงานเพียง 20 ถึง 30% เป็นเชื้อเพลิงสําหรับการขับรถไปรอบ ๆ” ศาสตราจารย์ Smit กล่าว
ยิ่งไปกว่านั้น ชาวออสเตรเลียมักจะขับรถที่ใหญ่และน้ำหนักเยอะกว่าประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรป รถยนต์ที่หนักกว่าต้องการเชื้อเพลิงมากขึ้นในการขับเคลื่อน ส่งผลให้การปล่อยมลพิษสูงขึ้นตามไป
ทั้งหมดนี้หมายความว่ารถยนต์ที่ใช้น้ํามันเริ่มผลิตการปล่อยมลพิษมากขึ้นอย่างมีนัยสําคัญระหว่างการใช้งาน ทําให้รถยนต์ไฟฟ้าเทียบไม่ติดเลย
มาดูมุมมองที่แตกต่างของรถสองคันของเราในขณะที่เราขับมา 15 ปีหรือ 189,000 กม. รถยนต์น้ำมันแสดงเป็นเส้นสีน้ําเงิน และรถยนต์ไฟฟ้าเป็นสีแดง สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า (เห็นได้ชัดเจน!) เพราะด้วยระบบการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้านั้นสร้างความแตกต่างอย่างมากให้กับโปรไฟล์การปล่อยมลพิษโดยรวมของรถ EV
คุณสามารถเห็นการปล่อยมลพิษสําหรับรถน้ำมันเพิ่มขึ้นจนเริ่มกลายเป็นเส้นโค้งในการปล่อยมลพิษ แต่ทางรถยนต์ไฟฟ้ากําลังเริ่มแบนลง นั่นเป็นเพราะการชาร์จไฟฟ้าจากโครงข่ายไฟฟ้ากําลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและพลังงานหมุนเวียนให้ได้ใช้งานมากขึ้นทำให้ปล่อยมลพิษน้อยลง
จากแบบจำลองที่ทำโดย Australian Energy Market Operator (AEMO) ซึ่งคาดการณ์อัตราของพลังงานหมุนเวียนใหม่ที่เข้าสู่กริดและโรงงานเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ถูกปลดประจําการ นั่นคือ ภายในปี 2030 รถยนต์ไฟฟ้าคันเดียวกันจะผลิตการปล่อยมลพิษน้อยลง เนื่องจากจะถูกชาร์จด้วยพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น
การกําจัดและการรีไซเคิลรถยนต์เมื่อสิ้นสุดอายุการใช้งาน รวมถึงแบตเตอรี่
จากข้อมูลของศาตราจารย์ Smit กล่าวว่าก๊าซเรือนกระจกจากการนำรถยนต์ไปกำจัดถือว่าน้อยกว่าการขับขี่บนท้องถนนทั้งช่วงชีวิตของรถอยู่มาก เป็นเพราะว่าชิ้นส่วนจากรถยนต์ส่วนใหญ่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ สิ่งนี้ชดเชยการปล่อยมลพิษบางส่วนจากขั้นตอนการเริ่มผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ได้นั่นเอง
เพื่อให้ค่าสถิติวัดผลการปล่อยมลพิษของเราสมบูรณ์ เรามาเพิ่มการปล่อยมลพิษสําหรับการกําจัดรถยนต์ของเรากันครับ
เนื่องจากแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้าสามารถนำมาใช้เป็นแบตเตอรี่สํารองในครัวเรือนได้ เช่น Tesla กําลังใช้แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเก่าเพื่อจ่ายไฟฟ้าให้กับโรงงานของตนอยู่แล้ว ทำให้คาดการณ์ว่าอายุการใช้งานครั้งที่สองนี้สําหรับแบตเตอรี่ EV สามารถลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของการผลิตแบตเตอรี่ได้ครึ่งหนึ่งเลย
การเทียบแต่ละรัฐในออสเตเรียสถิติออกได้ดังนี้ :
สรุปการสร้างมลพิษ EV vs ICE
ภาพรวมจากสถิติรถยนต์ไฟฟ้าจะสร้างมลพิษน้อยกว่าหลังจากการผลิตเสร็จอย่างเห็นได้ชัดจนกระทั่งเสื่อมสภาพ แม้โครงข่ายไฟฟ้ายังคงใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอยู่บ้าง แต่รถยนต์ไฟฟ้าก็มีการปล่อยคาร์บอนโดยรวมที่ต่ำกว่ามาก และจะยังคงลดลงต่อไปเมื่อไฟฟ้าสามารถได้สร้างมาจากกระบวนการธรรมชาติมากขึ้น
เราได้สรุปความความแตกต่างเบื้องต้นในใช้งานจริงระหว่างรถยนต์ไฟฟ้าและรถน้ำมันได้ดังนี้ :
การปล่อยมลพิษ
รถยนต์น้ำมันใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ซึ่งก่อให้เกิดมลพิษ ในขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนและไม่มีการปล่อย CO2 ออกมาโดยตรง
ต้นทุนการใช้งาน
รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาซื้อขายสูงกว่ารถยนต์น้ำมัน แต่ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและค่าเชื้อเพลิงต่ำกว่า เนื่องจากมีชิ้นส่วนเคลื่อนที่น้อยกว่า แม้ราคาซื้อขายรถยนต์ไฟฟ้าจะสูงกว่า แต่คาดว่าจะลดลงในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่ลดลง
การบำรุงรักษา
รถยนต์ไฟฟ้ามีชิ้นส่วนเคลื่อนที่น้อยกว่า ทำให้การบำรุงรักษาต่ำกว่า และมีปัญหาน้อยกว่ารถยนต์น้ำมัน
ระยะทางการขับขี่
รถยนต์น้ำมันมีระยะทางการขับขี่ต่อการเติมน้ำมันหนึ่งครั้งที่ยาวกว่ารถยนต์ไฟฟ้าต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง โดยรถยนต์น้ำมันสามารถขับขี่ได้ถึง 1,875 กม. ในขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าที่ดีที่สุดในปัจจุบันสามารถขับขี่ได้ประมาณ 654 กม.
โครงสร้างพื้นฐานการชาร์จ
ปัจจุบันยังมีสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าน้อยกว่าสถานีน้ำมัน แต่สถานีชาร์จเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ประสิทธิภาพการขับขี่
รถยนต์ไฟฟ้ามีความสามารถในการเร่งความเร็วจากการหยุดนิ่งได้ดีกว่ารถยนต์น้ำมัน และมีความสามารถในการปรับแรงบิดได้ทันที
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
การผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในขั้นตอนการผลิตมากกว่าการผลิตเครื่องยนต์น้ำมัน แต่ในระยะยาว การใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่ารถยนต์น้ำมัน
สรุปการเลือกซื้อรถยนต์ขึ้นอยู่กับความต้องการและสิ่งที่ผู้ขับขี่ให้ความสำคัญ หากให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว รถยนต์ไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่ดี แต่หากต้องการความสะดวกสบายในการเติมเชื้อเพลิงและระยะทางการขับขี่ที่ยาวนาน รถยนต์น้ำมันยังคงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า
ที่มา : ABC News