ใน , , ,

Ford ลงทุน 2 เท่าในรถ EV ราคาย่อมเยาหลังจาก BYD ประสบความสำเร็จ

ล่าสุด Ford กลับมาลงทุนเป็นสองเท่าให้กับรถยนต์ไฟฟ้าราคาย่อมเยา หลังจาก BYD ประสบความสำเร็จ พร้อมเรียนรู้และจะกลับมาแข่งขันกลับ มาชมรายละเอียดแผนการของ Ford ครั้งนี้กันครับ

Ford ลงทุน 2 เท่าในรถ EV ราคาย่อมเยาหลังจาก BYD ประสบความสำเร็จ

Jim Farley CEO ของ Ford ต้องการที่จะปล่อยรถยนต์ไฟฟ้าราคาย่อมเยา ตั้งเป้าทำให้สำเร็จเหมือนอย่างที่ Henry Ford เคยทำไว้ในรถอย่าง Ford Model T ซึ่งความท้าทายที่สุดของโปรเจคนี้คือการทำให้ได้กำไร หลังจากที่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนประสบความสำเร็จอย่างมากทำให้ Ford เองต้องการที่จะแข่งขันกับ BYD ให้ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ

Ford หันมามุ่งเน้นรถ EV ราคาย่อมเยา

คาดได้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าเจเนอเรชันใหม่ของ Ford จะ “ไม่เพียงแค่ทำกำไรได้ดี แต่ต้องมีราคาเข้าถึงง่ายสำหรับชาวอเมริกันด้วย”

อ้างอิงจาก Farley กล่าวว่า Ford เจนต่อไปจะเป็น “ไลน์อัพรถยนต์ไฟฟ้านำไปแข่งขับกับจีนได้ดีที่สุด” และตอนนี้ทาง Ford เชื่อว่าคู่แข่งที่ชัดเจนที่สุดคือรถ EV จากประเทศจีน

หลังจากแผนการรุกเกมของจีนด้วยการ “ทุ่มสุดตัวให้กับตลาดรถ EV” จนสามารถ “ประสบความสำเร็จได้ในปัจจุบัน” Farley กล่าวในการสัมภาษณ์กับ Yahoo Finance ว่า “Ford กำลังพยายามเลียนแบบความสำเร็จนี้ในแผนดินของอเมริกา”

Farley เผยว่า Ford ได้ ‘ซุ่ม’ พัฒนาแพลตฟอร์มรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก Ford ที่จะเป็นตัวสำคัญในรถยนต์ไฟฟ้าโมเดลราคาย่อมเยาได้ในช่วงปีนี้ Ford เองจำเป็นต้องเลื่อนกำหนดรถยนต์ไฟฟ้า SUV ขนาดใหญ่ 7 ที่นั่งและหันมามุ่งเน้นให้กับรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กแทนในปัจจุบัน

Farley กล่าวว่า Ford ได้ “รวมทีมอย่าง ‘Skunk Works’ เป็นการรวมทีมวิศวกรที่เก่งที่สุดในโลกไว้” เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่นี้

ทีมนี้ “ประกอบไปด้วยอดีตคนเก่ง ๆ จากทีม Tesla และ Apple ไว้” Farley กล่าวว่า “พวกเขาพยายามพัฒนาในส่วนที่แตกต่างกันออกไป คนละผลิตภัณฑ์ในต้นทุนที่แตกต่างกันออกไปด้วยแบตเตอรี่ขนาดเล็กและคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป”

เรียนรู้และแข่งขันกับเจ้าตลาด

ด้วยเหตุผลหลักของ Ford ในการเปลี่ยนแผนครั้งนี้คือต้นทุนที่ราคาสูง Farley กล่าวว่าแบตเตอรี่ NCM มีส่วนประกอบอย่าง โคบอลต์ ลิเธียม และนิกเกิล มีราคาสูงมากและน้ำหนักที่มากด้วย ตัวอย่างในรถกระบะไฟฟ้าอย่าง F-150 Lightning มีราคาแบตเตอรี่อยู่ที่ 30,000 ถึง 40,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1-1.5 ล้านบาท)

หัวหน้าทีม Ford กล่าวว่า Ford ถือว่าเป็นบริษัทแรกที่ลงทุนในแบตเตอรี่ที่มีต้นทุนต่ำที่โรงงาน Marshall ใน Michigan Farley กล่าวอีกว่าจะเป็นแบรนด์แรกที่ทำแบตเตอรี่ราคาต่ำให้กับลูกค้าในสหรัฐ

อ้างอิงจาก Farley Ford กำลังรวมมือกับ CATL ผู้นำด้านแบตเตอรี่ไฟฟ้า ในการเรียนรู้วิธีและพยายามพัฒนาขึ้นด้วยตนเอง นั่นคือสิ่งที่ Ford กำลังพยายามทำที่ Marshall ครับ

จากการที่ Ford พยายามฟื้นตัวให้กับแบรนด์ “เหมือนกันในยุค 80 และ 90” Ford วางแผนที่จะมุ่งเน้นให้กับรถยนต์ Hybrid มากขึ้นหลังจากที่ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าเริ่มชะลอตัว

หลังจากที่ Ford ได้เริ่มใช้ระบบเครือข่ายการชาร์จจาก Tesla Supercharger ในช่วงต้นปีนี้ Farley กล่าวว่าบริษัทจะมีรับสมัครงานเพิ่มมากถึง 100,000 ตำแหน่ง Ford ได้เริ่มส่งรถยนต์ไฟฟ้าที่เริ่มใช้งานรองรับระบบชาร์จ North American Charging System (NACS) กว่า 1,000 คัน

Farley กล่าวว่า Ford “ประทับใจในการทำงานของทาง Tesla” ที่อนุญาตให้ผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าได้เข้าใช้งานได้ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี Ford ต้องการอเดปเตอร์เพิ่มกว่า 90,000 หัว หลังจาก Farley “ได้พิมพ์หา Elon ในคืนที่ผ่านมา” โดย Farley กล่าวว่าเราจะได้เห็นในสิ่งที่เขาต้องการ

นี่ถือว่า “เป็นการร่วมมือกันอย่างยุติธรรม” ระหว่าง Ford และ Tesla เป็นการร่วมมือของอันดับหนึ่งและอันดับสองสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐ Farley กล่าวเพิ่มเติมว่าเป็นความสัมพันธ์ “ที่ดีมาก” แต่ก็ยังคงมีการแข่งขันกันในตลาดอยู่

เพิ่มเติมเกี่ยวกับตลาด EV

Farley ชี้ให้เห็นปัจจัยที่ชัดเจนสำหรับคำถามที่ว่า ทําไมจีนถึงเก่งเรื่องรถยนต์ไฟฟ้า? นั่นเป็นเพราะรัฐบาลจีนมีสนับสนุนที่ดีและการพลักดันการแข่งขันของตลาดได้อย่างรวดเร็ว

เขากล่าวว่ารัฐบาลจีนอยู่เบื้องหลังเทคโนโลยี EV ใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็วด้วยข้อได้เปรียบทางภาษีจํานวนมาก เงินอุดหนุน และการลงทุนในผู้ผลิตแบตเตอรี่ เช่น CATL รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศจีนจะคิดเป็นประมาณ 45% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในปีนี้ โดยคิดเป็นประมาณ 10 ล้านคันในฐานะตลาดรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนําของโลก

ในขณะเดียวกัน BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนําของจีน ได้โพสต์ยอดขายในเดือนที่มียอดขายสูงสุดเป็นครั้งท่ี 2 เนื่องจากยอดขายรถยนต์ไฟฟ้ายังคงมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

BYD ขายรถยนต์ไฟฟ้าได้ 146,395 คันเมื่อเดือนที่แล้ว เพิ่มขึ้น 22% YOY และ 9% จากเดือนเมษายน BYD หยุดผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมันในปี 2022 เนื่องจากเปลี่ยนโฟกัสไปที่รถยนต์ไฟฟ้าแทน

ในฐานะผู้ผลิตแบตเตอรี่ทำให้ BYD มีข้อได้เปรียบด้านต้นทุนอยู่แล้ว หลังจากเปิดตัวรถซีรีส์ใหม่อย่าง “Honor” ที่มีราคาที่ถูกที่สุด BYD ได้ปล่อย Seagull Honor Edition เริ่มต้นที่เพียง 9,700 เหรียญ (ประมาณ 355,000 บาท) ในประเทศจีน ก่อนหน้านี้ Farley นิยาม BYD Seagull ว่า “เป็นรถที่ดี” เตือนคู่แข่งเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่เหนือกว่าจาก BYD

จากข่าวนี้คุณคิดว่า Ford จะสามารถตาม BYD หรือผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของจีนรายอื่นได้หรือไม่? หรือแม้กระทั่ง Tesla ในสหรัฐอเมริกาเอง? สามารถแสดงความคิดเห็นพูดคุยกันไว้ได้เลยครับ

ที่มา : Electrek

แสดงความคิดเห็น

เขียนโดย Nuttanon P.