ใน , , , ,

ผู้ใช้รถ EV รวมถึงผู้นั่งโดยสารบางคนเกิดอาการเมารถง่าย

ผู้ใช้รถ EV รวมถึงผู้โดยสารบางคนเกิดอาการเมารถ หรือป่วยจากการเคลื่อนไหวของรถ EV จากระบบ Regenerative Braking ที่ทำให้รถยากต่อการทำให้ขับขี่ได้นุ่มนวล ถือว่าเป็นประเด็นที่น่าสนใจเลยครับ มาชมรายละเอียดกันครับ

ผู้ใช้รถ EV รวมถึงผู้นั่งโดยสารบางคนเกิดอาการเมารถง่าย

หนึ่งในข้อดีของการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าคือระบบ One-pedal สามารถควบคุมตัวรถให้เร่งและหยุดนิ่งได้เพียงคันเร่งอย่างเดียว หากอยากให้รถหยุดนิ่งเพียงยกเท้าจากคันเร่งเท่านั้น

แต่แม้ว่าชาวอเมริกันเริ่มเปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปและกระบะมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น แต่หลาย ๆ คนก็เจอข้อเสียของการใช้ชีวิตกับระบบ one-pedal

“มันทำให้ผู้คนเกิดอาการเมารถได้” John Voelcker อดีตบรรณาธิการของ Green Car Reports กล่าวกับ ABC News ว่า “ระบบ Regenerative Braking ถือว่าทำงานหนักหน่วงมาก หากระบบทำการปั่นกระแสไฟฟ้าระดับสูงสุด คุณจะสัมผัสได้ถึงภาวะป่วยจากการเคลื่อนไหว อีกทั้งยังต้องใช้เวลาในการเรียนรู้เพื่อกะจังหวะในการขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ เรียกได้ว่าต้องปรับตัวกันยกใหญ่”

Voelcker กล่าวว่าเขารู้สึกนั่งไม่สบายมาก ๆ ตอนที่ได้มีโอกาสเป็นผู้โดยสารนั่งเบาะโดยสารหลังของ Tesla

“ผู้ขับขี่ไม่ได้ปรับตัวกับการขับขี่ระบบ Regen braking ของ Tesla ที่ดึงและกระชากหนักหน่วง” และกล่าวเสริมว่า “ผมถูกเหวี่ยงและโยนอยู่หลายครั้งตอนที่นั่งอยู่”

Ed Kim ประธานบริษัทและหัวหน้าทีมวิเคราะห์ AutoPacific กล่าวว่า Tesla ถือเป็น “สิ่งที่แย่” เพราะรถของ Tesla “กระตุกและกระชากไวมาก”

“ผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่จะจูนคันเร่งให้รถยนต์ไฟฟ้ามีความกระชากเพื่อส่งกำลังไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็ว แต่ผลข้างเคียงคือรถเหล่านี้จะทําให้ผู้โดยสารบางคนป่วยกับการเคลื่อนไวของรถได้ คุณต้องระมัดระวังในการใช้คันเร่งเป็นอย่างมาก” Kim บอกกับ ABC News

Kim กล่าวว่าภรรยาของเขามีอาการคลื่นไส้ระหว่างนั่งในรถ Tesla Model Y และเขาเคยได้ยินประสบการณ์ที่คล้ายกันจากผู้ขับขี่รายอื่น การเร่งความเร็วที่รวดเร็วมากของรถ EV อาจทําให้ชาวอเมริกันที่เรียนรู้วิธีขับรถด้วยเครื่องยนต์เบนซินสับสนในการใช้งานช่วงแรก

Tesla Model Y

“รถ EV มีแรงบิดมาก เพียงแตะคันเร่งพลังงานไฟฟ้าก็ทำงานได้ทันทีอาจทําให้บางคนไม่ทันตั้งตัว หากตั้งค่าระบบ Regen brake สูงจริง ๆ รถจะพุ่งไปข้างหน้าหลังติดเบาะและหน้าทิ่มในช่วงปล่อยคันเร่ง” เขากล่าว

Dr. D J Verret หมอหูตาจมูกประจำที่เท็กซัส กล่าวว่าภาวะป่วยจากการเคลื่อนไหวรถยนต์ไฟฟ้าว่า “มันคือเรื่องจริง”

หมอ Verret ชี้ให้เห็นถึงการที่รถยนต์ไฟฟ้าไม่มีเสียงเครื่องยนต์ ยิ่งส่งผลให้ประสบการณ์ของผู้โดยสารแย่ลงไปอีก โดยเฉพาะคนที่มีแนวโน้มจะป่วยการเคลื่อนไหวได้ง่าย หรือเมารถ

“สมองเราตั้งค่าให้รับมือสถานการณ์ปัจจุบันที่คาดการณ์ได้เท่านั้น” หมอกล่าวกับ ABC News “ในรถยนต์เครื่องสันดาป คุณจะยังคงได้ยินเสียงเครื่องยนต์ระหว่างการเร่งเครื่อง และทำให้ผู้โดยสารรับรู้ได้ถึงการเร่งตัวรถ แต่สำหรับรถ EV กลับเป็นสิ่งที่เสียงและภาพความไวไม่สัมพันธ์กันเลย ว่าคุณกำลังเร่งไปอย่างไวแต่ไม่มีเสียงอะไรเลย”

ผู้โดยสารมีความอ่อนไหวต่ออาการวิงเวียนศีรษะและคลื่นไส้ในรถ EV มากกว่าผู้ขับขี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนั่งอยู่ในเบาะหลัง

“ถ้าคุณเป็นคนขับเอง หัวของคุณจะขยับตามการเลี้ยว” เขากล่าว “สมองของเราจะตอบสนองว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปจะเลี้ยวโค้งไปทางไหน กลับกันหากคุณเป็นผู้โดยสาร คุณจะไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้มากถึงแรงเหวี่ยงของรถว่าจะเป็นทิศทางไหน ถ้าคุณเหยียบคันเร่งรถแรงและเข้าโค้งไว มันจะเพิ่มความเมารถและอาการป่วยของการเคลื่อนไหวได้มากขึ้น”

Monica Jones รองนักวิทยาศาสตร์วิจัยที่มหาวิทยาลัย Michigan ด้านสถาบันวิจัยการขนส่ง ทำการศึกษาเกี่ยวกับภาวะการป่วยจากการเคลื่อนไหวมาหลายปี เป็นหัวข้อที่รวบรวม “ความน่าสนใจมากมาย” Jones บอกกับ ABC News และเสริมว่านักวิจัยยังไม่ชัดเจนว่าทําไมบางคนถึงอ่อนไหวต่ออาการเมารถมาก ๆ

Jones ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับผู้ผลิตรถยนต์ที่มีความกระตุกในการขับขี่ “ส่วนใหญ่จะเกิดกับรถ EV ด้วยระบบ Regen braking” เธอกล่าวไว้

Jones และทีมของเขาได้ปรับตัวเพื่อขับขี่รถที่กระตุก ขณะที่พยายามประคองความเร็วช่วงการเร่งสูงสุด ผู้ทดลองทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า “มันเป็นเรื่องง่ายมาก ๆ ที่มันจะกระตุก และยากมากที่จะขับในนุ่มนวล” Jones กล่าวไว้

Jones กล่าวว่าการวิจัยนี้สามารถช่วยผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าปรับปรุงอาการเมารถ ในขณะที่ยังคงปรับแต่งเทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้วยในรุ่นที่ใหม่กว่า

“การขับขี่ด้วย One-pedal เป็นประสบการณ์ที่แตกต่างจากเครื่องยนต์สันดาปมาก” เธอกล่าว “แม้ว่าคุณจะเรียนรู้วิธีขับรถด้วยเท้าเดียวอย่างมีประสิทธิภาพ ความไม่แน่นอนในสภาพแวดล้อม เช่น การจราจร ก็ยังทําให้เกิดอาการเมารถได้”

ขณะนี้มีรถ EV ที่สามารถให้การขับขี่คล้ายกับรถเครื่องยนต์สันดาปได้ ซึ่งถือเป็นโบนัสสําหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงการขับขี่ที่กระตุกเหมือนรถ Tesla รถยนต์ไฟฟ้าอย่าง IONIQ 5 N ใหม่ของ Hyundai ซึ่งเป็นรถเก๋ที่ให้กําลัง 641 แรงม้า มาพร้อมกับการจำลองเกียร์ปลอมและเสียงเครื่องยนต์จำลอง มอบประสบการณ์ที่ขับเคลื่อนให้คล้ายกับรถสันดาปได้ทั้งในและนอกสนามแข่ง

Hyundai IONIQ 5 N รถ SUV ไฟฟ้าสมรรถนะสูง

Matt Farah พิธีกรของ Podcast ยอดนิยม “The Smoking Tire” และบรรณาธิการใหญ่สําหรับ Road & Track กล่าวว่าเขารู้สึกทึ่งกับ IONIQ 5 N มากจนมุมมองของเขาเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าที่เปลี่ยนไป

“ตอนนี้เรารู้ว่ามันเป็นไปได้ที่จะทําให้การขับขี่รถ EV สนุกเร้าใจ” เขาบอกกับ ABC News “กระปุกเกียร์สังเคราะห์และเสียงสังเคราะห์ประสบความสําเร็จในการเลียนแบบสิ่งที่เราชอบเกี่ยวกับรถสปอร์ตเครื่องเบนซิน”

Farah กล่าวว่าเขาเองก็เคยรู้สึกไม่สบายใจในรถ EV มาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไปเร็วมากหรือออกตัวแบบ Launch Control ด้วยความเร็วสูง

“ถ้าผมทำการออกตัวแบบ Launch Control 2-3 ครั้งติดต่อกันในรถ EV ผมจะรู้สึกไม่ค่อยดีหลังจากนั้น” Farah กล่าว “วิธีที่มอเตอร์ไฟฟ้าส่งพลังและการไม่มีเสียง คือสิ่งที่ทําให้คุณรู้สึกเวียนหัวได้อย่างรวดเร็ว”

Hyundai IONIQ 5 N รถ SUV ไฟฟ้าสมรรถนะสูง

การตัดสินใจของ Hyundai ที่จะรวมเกียร์และเสียงปลอม (N e-shift และ N active sound+) “ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อบรรเทาอาการคลื่นไส้หรือเมารถ แม้ว่าจะเป็นไปได้ว่าคุณสมบัติเหล่านี้อาจช่วยลดผลกระทบบางอย่างสําหรับผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าได้ทางอ้อม” โฆษกของบริษัท Hyundai กล่าวกับ ABC News

ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด Farah ซึ่งทดสอบขับ IONIQ 5 N ในแคลิฟอร์เนียเมื่อเดือนที่แล้วกล่าวว่าผู้ผลิตรถยนต์จํานวนมากขึ้นควรทําตามตัวอย่างของ Hyundai

“จากเสียงเกียร์สังเคราะห์ทำให้คุณควบคุมได้ดีขึ้น คุณจะรู้จังหวะตัวรถช่วงไหนเร่งช่วงไหนผ่อน นั่นคือข้อดีในการขับขี่” เขากล่าว “แม้คุณรู้ว่ามันคือเสียงปลอม แต่หลังจากขับมันไปได้สักพักคุณจะชอบ และขาดมันไม่ได้อย่างไม่รู้ตัว”

Cadillac Lyriq ซึ่งเป็นรถสปอร์ตอเนกประสงค์ไฟฟ้าที่โฉบเฉี่ยวซึ่งเริ่มผลิตเมื่อปีที่แล้ว อาจไม่มีเสียงเครื่องยนต์สังเคราะห์ แต่การปรับแต่งและคุณภาพการขับขี่ได้เอาชนะผู้ขับขี่เกลียดการขับขี่แบบ one-pedal “มันเป็นการจูนที่ใกล้เคียงกับรถ ICE มาก ๆ” Voelcker กล่าว

Cadillac Lyriq รถ SUV ไฟฟ้า

Lyriq ไม่ได้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่พุ่งไปข้างหน้าแล้วดึงกระชากเหมือนรถ SUV ไฟฟ้าคันอื่น ๆ Kim กล่าวไว้

“คันเร่งทำงานได้นุ่มนวลและผู้ดีมาก ๆ” เขากล่าว “ประสบการณ์ของผู้โดยสารจะเหมือนกับการนั่งบนรถยนต์สันดาปเลย ไม่ว่าจะขับขี่อย่างไรก็ตาม”

Kevin Cansiani หัวหน้าวิศวกรของ Cadillac บอกกับทาง ABC News ว่า Lyriq ขับขี่ได้ดีกว่ารถยนต์สันดาปอีกด้วยซ้ำไป

“ความไม่พอใจของผมในรถสันดาปคือการเปลี่ยนแปลงและการกระตุกของชุดเกียร์ที่คุณยังร​ู้สุกได้เสมอ” เขากล่าว ” ด้วย Lyriq จะมอบความรู้สึกของแรงบิดที่ไร้รอยต่อ เป้าหมายของวิศวกรคือการทําให้ Lyriq มีคุณภาพการขับขี่ระดับพรีเมียมอย่างแท้จริง”

ทีมของ Cansiani ปรับ Lyriq เพื่อให้ผู้โดยสารและผู้ขับขี่ไม่ได้รับผลกระทบจากการตอบสนองของคันเร่งของ SUV “เราคิดชุดการทํา mapping คันเร่งและมีสกอร์การ์ดไดรฟ์เฉพาะ เราวัดขนาดตามวัตถุประสงค์กับกระตุกและจูนในลงตัวมากที่สุด” เขากล่าว

Cadillac Lyriq รถ SUV ไฟฟ้า

Lyriq มีโหมด Regen Brake ใหม่ 3 โหมด – ปิด ปกติ และสูง Cansiani กล่าวว่าลูกค้า Lyriq ส่วนใหญ่เลือกโหมดปกติสําหรับ “ความรู้สึกทันทีของแรงบิด” และการขับรถด้วย regen off จะไม่ส่งผลกระทบต่อช่วง การขับขี่เลย “คุณไม่ได้สูญเสียระยะที่วิ่งได้มากนัก” เขากล่าว “เราได้ผสมการเบรกบน Lyriq แป้นเบรกเมื่อกดจะสั่งการรีเจนให้มากที่สุด เมื่อถึงขีดสุดแล้วเท่านั้นที่จะเปลี่ยนเป็นการเบรกแบบเสียดสีแบบปกติ”

สําหรับมือใหม่ในรถยนต์ไฟฟ้า มีวิธีลดแรงเหวี่ยงเมื่อขับ EV ในตลาด “คนที่ใหม่สำหรับรถ EV ไม่คุ้นเคยกับพลังและแรงบิด” Kim ตั้งข้อสังเกต และเสริมว่ามันค่อนข้างง่ายที่จะคุ้นเคยกับเทคโนโลยี

เขาแนะนําให้ผู้ขับขี่ตั้งค่าโหมด Eco ใน EV เพื่อให้คันเร่งมีความไวน้อยลง “มันจะทําให้คุณมีสไตล์การขับขี่ที่ผ่อนคลายมากขึ้น” เขากล่าว

ข้อเสนอแนะอื่น ๆ ของเขาคือวิศวกรปรับการทํา Mapping คันเร่งในรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อให้เลียนแบบวิธีที่รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยน้ํามันเบนซิน

Voelcker กล่าวว่าการเบรกแบบรีเจนนั้นแตกต่างกันในทุก ๆ คันของรถ EV บางคันอาจดีกว่ารถคันอื่น โดยส่วนตัวแล้วเขาเป็นแฟนตัวยงของเทคนิคการขับขี่: “ผมไม่แตะเบรก รถจะเบรกให้คุณ”

“มันเกี่ยวกับการควบคุมกล้ามเนื้อที่เท้าในการจดจำการควบคุม One-pedal” เขาอธิบาย “คนที่ขับรถสันดาป พวกเขาจะไม่ชะลอก่อน พวกเขาเร่งความเร็วไปที่ป้ายหยุดแล้วจึงเหยียบเบรก” เขาเสริมว่า “อาการเมารถที่เกิดขึ้นส่วนมาก พูดตามตรง เป็นเพราะคนขับเลยครับ พร้อมกับหัวเราะ”

ที่มา : ABC News

แสดงความคิดเห็น

เขียนโดย Nuttanon P.