ทีมงาน iMoD ได้มีโอกาสสัมผัสรถยนต์ไฟฟ้าที่ Lotus Eletre ระบุไว้ว่าเป็น Hyper-SUV ไฟฟ้าคันแรกของโลก โดยเราได้รุ่น Eletre S มารีวิว วันนี้ผมนนท์ iMoD จะมาแชร์ประสบการณ์ที่ได้สัมผัสรถไฟฟ้าสมรรถนะสูงคันนี้ให้ได้ชมกัน ก่อนที่จะปล่อยคลิปรีวิวฉบับเต็มจากพี่ต้อม เร็ว ๆ นี้ครับ
รีวิวประสบการณ์สัมผัส Lotus Eletre รถยนต์ไฟฟ้า Hyper-SUV พวงมาลัยคม แรงมาก ออปชันจัดเต็ม
Lotus Cars Thailand และ Wearnes ได้นำ Lotus Eletre เข้ามาขายในประเทศไทย 2 รุ่น ได้แก่ Eletre S และ Eletre R (ยกเว้นรุ่นเริ่มต้นอย่าง Eletre) คันนี้ถือว่าเป็น E-Segment SUV ไฟฟ้า คู่แข่งอย่าง BMW iX, Porsche Cayenne, Audi Q8 E-Tron และที่ขาดไม่ได้คือแรงบันดาลใจของคันนี้อย่าง Lamborghini Urus
ครั้งนี้ทาง iMoD ได้ Eletre S สีเหลือง Solar Yellow สวยสะดุดตาที่ใครเห็นเป็นต้องมอง รุ่น S มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 112 kWh ทำระยะที่วิ่งได้สูงสุด 600 กม./ชาร์จ (ตามมาตราฐาน WLTP)
สวยจนใครเห็นต้องหันมามอง (ดีไซน์ภายนอก Lotus Eletre S)
จากครั้งแรกที่เห็น ถือว่าตัวรถเด่นสะดุดตาสมกับที่ตั้งใจออกแบบให้ดูเป็น Hypercar ด้วยตัวรถที่คันใหญ่ พร้อมล้อขนาด 22 นิ้วที่ดูเต็ม พร้อมสีออปชันอย่าง Solar Yellow ตัดกับสีดำได้อย่างลงตัว ไม่ว่ามองไปส่วนไหนของรถก็จะเห็นช่องลมทั้งหมด 7 ช่อง ที่ช่วยเรื่องของค่าแรงเสียดทานอากาศที่ดีถึง 0.26 Cd รับน้ำหนักกดแรงได้มากถึง 90 กก. ทำงานรวมกับแอ็คทีฟสปอยเลอร์ปรับ 2 ตำแหน่งได้สูงสุด 32 องศา รวมถึงมี Active Grille สำหรับระบายอากาศและช่วยกดตัวรถอีกด้วย
ไฟหน้า Daytime Running light แยกกับระบบไฟส่องสว่างพร้อมระบบ Matrix LED ที่ยิงไฟสูงแยกดวงเพื่อเลี่ยงการส่องผู้ใช้รถร่วมถนนอัตโนมัติ
Ground Clearance คันนี้อยู่ที่ 194 มม.
ด้านข้างดูเท่ห์และสปอร์ตมาก ๆ เริ่มจาก Rear Privacy Glass ที่กระจกด้านหลังจะดำสนิทเพื่อความเป็นส่วนตัว ซุ่มล้อที่ขนาดใหญ่พร้อมล้ออัลลอย 22 นิ้ว 5 ก้านคู่ลาย Diamond Cut ที่ได้ยาง Pirelli P-Zero สเปคหน้า 275/40 R22 หลัง 315/35 R22 แบบ Elect ที่รองรับสำหรับ SUV ไฟฟ้าที่จะช่วยให้วิ่งได้ระยะที่ดีมากยิ่งขึ้น คาลิปเปอร์เบรคสีดำพร้อมโลโก้ Lotus 6 พอต มีออปชันตัวสุดก็คือคาลิปเปอร์เบรคสีเหลือง หรือสีเงิน 10 พอตพร้อมดิสเบรคเซรามิค (จะเลือกเฉพาะรุ่น R เท่านั้น)
คันนี้ได้เลือกออปชัน CARBON PACK มาด้วยที่จะได้ชิ้นสปอยเลอร์ ดิฟฟิวเซอร์หลัง รวมถึงที่ครอบกระจกข้างคาบอนไฟเบอร์
ลิ้นสปอยเลอร์ลายคาร์บอนไฟเบอร์
กล้อง Side Cameras เป็นออปชันเสริม
คันนี้มาพร้อมระบบ LiDAR รอบคัน 4 จุด ที่แรกหลังคาด้านหน้าสามารถพับเปิด-ปิดได้อัตโนมัติ 2 ตัวด้านข้างบนคิ้วล้อ และด้านหลังอีก 1 จุด แต่ปัจจุบันยังไม่สามารถใช้งานได้ คันนี้ถือว่าเป็นรถ production car ที่ให้ระบบ LiDAR ติดตั้งมาให้ใช้งานเป็นรุ่นแรก ๆ ของโลก
การออกแบบด้านท้ายที่ดูมีโป่งที่กว้างดุดันพร้อมช่องลมขนาดใหญ่ ไฟท้ายคาดยาว ที่แสดงทั้งไฟเบรค ไฟเลี้ยว และแสดงสถานะการชาร์จเป็นสีเขียว พร้อม Welcome show เวลากดปลดล็อคตัวรถที่จะเป็นแสดงโชว์ไฟหน้า-หลัง และสปอยเลอร์ขึ้นลง (ตามคลิปด้านล่าง)
จอดเซ็ทกล้องบนวัดพระธาตุดอยสุเทพ มีนักท่องเที่ยวมุงดูให้ความสนใจรถคันนี้อย่างมาก
วัสดุดีแทบทุกจุด สไตล์สปอร์ตให้ความรู้สึกเบาแต่ซิ่ง (ดีไซน์ภายใน Lotus Eletre S)
การออกแบบภายในใช้วัสดุที่ดีมาก ๆ แทบจะทุกจุด หาพลาสติกไม่เจอเลย คันนี้จะใช้วัสดุ Alcantara หนัง Nappa และ Ultrafabrics PU ส่วนเบาะนั่งใช้เส้นใย Re-Fibre และพรมแบบ Econyl ที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ 100%
ขนาดที่เก็บสัมภาระด้านหลังยังบุนุ่มมาทุกจุด ห้องโดยสารให้อารมณ์ที่ล้ำสมัยมาก ตัดด้วยวัสดุพรีเมียมที่เล่นสีทองให้เห็นรอบคัน ทาง Lotus บอกไว้ว่านอกจากสวยงามแล้วยังมีความทนทานใช้งานได้นานอีกด้วย แปลกตาจากที่เคยได้เห็นรถสปอร์ตรุ่นเก่า ๆ ของ Lotus ที่ดิบมาก
Ambient light คาดยาวเลือกได้ 64 สี พร้อมจอให้ใช้งานได้ถึง 3 จอ ไม่รวม HUD
ที่โดยสารตอนหลังกว้างมาก ตามขนาด E-Segment SUV โปร่งสบายด้วย Panoramic Glass roof ที่ได้ออปชัน Intelligent Glass roof มาที่จะสามารถปรับความเข้มตัดแสงได้ 10 ระดับ หรือปรับออโต้ได้
ยอมรับเลยครับว่าใช้งานได้ดีมาก ความร้อนเข้ามาน้อยมากแม้จะจอดทิ้งไว้กลางแดดนาน (คันที่เราได้มารีวิวได้ติดฟิล์มรอบคันมาแล้วด้วย)
พร้อมระบบเบาะนวดทั้ง 2 ที่หนังตอนหน้า เบาะอุ่น และเบาะเย็น คันนี้ได้ออปชันเข็มขัด 3 สีมาด้วย ที่นั่งตอนหลังปรับเอนได้ใต้ที่นั่งแบบไฟฟ้า หรือปรับได้ที่หน้าจอกลางด้านหลัง
Eletre S มาพร้อมลำโพง KEF แบรนด์ที่มีชื่อเสียงจากประเทศอังกฤษ แบบ 3D Surround System 23 ตัว กำลังขับ 2,160W ที่ให้เสียงมิติที่ใสเน้นเสียงกลางและเสียงแหลมที่ดีมาก ส่วนตัวผมว่าย่านเบสอาจจะน้อยไปหน่อย และไม่สามารถ EQ ได้ผ่านระบบของ Lotus ต้องไป EQ เองผ่าน App เพลงซึ่งถือว่าไม่สะดวกเท่าไหร่ จะเลือกได้เพียงแต่ Mode Stage เสียงได้ทั้งหมด 3 โหมด Source, Stage และ Spatial ซึ่ง Eletre R จะได้ลำโพง KEF ไม่ได้แบบ 3D เพียง 15 ตัวเท่านั้น
UX/UI สวยล้ำเหมือนเล่นเกม (ระบบ Infotainment Lotus Eletre)
หน้าจอกลางระบบ Hyper OS ขนาด 15.1 นิ้ว ได้ชิป Dual-Qualcom 8155 รองรับ 5G และการอัปเดต OTA ในอนาคตจะใช้งานระบบ Autonomous เลเวล 4 ได้ ที่ทำงานกับ LiDAR ทั้ง 4 ตัว กราฟฟิค 3D สวยงามใช้งานหลื่นเพราะได้พัฒนาจากโปรแกรมสร้างเกม 3D ขั้นเทพอย่าง Unreal Engine ที่โชว์สถานะประตูรถและกระจกตามการใช้งานจริง เช่น เปิดประตูกราฟฟิคก็จะเปิดประตูตามแบบ Real-time เลย (ตามคลิปด้านล่าง)
แรงมาก เกาะถนน จิกโค้งจนลืมเรื่องน้ำหนักตัวไปเลย (สมรรถนะการขับขี่ Lotus Eletre S)
สำหรับ Eletre S ใช้มอเตอร์คู่ ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD พละกำลัง 603 แรงม้า แรงบิด 710 นิวตันเมตร ทำความเร็ว 0-100 ภายใน 4.5 วินาที หากไปที่โหมด Sport ตัวรถจะปรับให้รถกดลงต่ำที่สุดโดยอัตโนมัติด้วยระบบช่วงล่างแบบถุงลม ที่จะปรับสูงต่ำตามโหมดต่าง ๆ ได้ทันทีระหว่างขับขี่
โหมด Range ตัวรถจะลดระดับล้อคู่หน้าลงให้จิกเพื่อรับ Aerodynamic กดเพื่อช่วยให้ประหยัดและขับได้ระยะทางมากขึ้น
จากที่ได้รองออกตัวจากหยุดนิ่งให้ฟิวพุ่งแบบทันทีได้ไวระดับที่หากใครไม่ได้ตั้งตัวอาจจะมีเหวอ นี่ขนาดแค่รุ่น S นะครับ ถ้าเป็นรุ่น R จะขนาดไหน
การเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ผมบอกเลยว่าแทบจะไม่มีอาการ body roll ให้เห็นเลยน้อยมาก ๆ ได้ลองเข้าโค้งที่ความเร็วประมาณ 210 กม./ชม. ยังรู้สึกเอาอยู่มั่นใจมากทำได้ดีจนน่าทึ่ง ไม่มีความหวาดเสียวเลยแม้แต่น้อย คันนี้ผมรู้ว่าจูนพวงมาลัยมาได้คมมาก แต่น้ำหนักเบากว่าที่คิดไวมากทั้ง ๆ ที่ปรับไปแบบ Sport แล้วก็ตามแต่กลับเอาอยู่ทุกความไว ผมขอนิยามพวงมาลัยคันนี้สั้น ๆ ว่า “เบาคมแม่นยำทุกช่วง”
สิ่งที่ผมใช้งานแล้วว่ายังขาดไประหว่างขับขี่นั้นก็คือ “เสียงสังเคราะห์” ฟังไม่ผิดครับ มาถึงจุดที่เราเรียกร้องหาเสียงสังเคราะห์แล้วจริง ๆ เพราะมันช่วยเพิ่มอรรถรสในตอนขับมาก ทำให้เราสามารถกะอัตราเร่งโดยไม่ได้ต้องมองตัวเลขได้ด้วยเสียง ตัวอย่างแบรนด์ที่ทำได้ดีอย่าง BMW ก็ใช้เสียงสังเคราะห์ IconicSounds Electric เช่นใน BMW iX, BMW i5 M60, และ BMW i7 ที่เราเคยได้ลองไป
ตอนที่เห็นวิ่งเเล้วสปอยเลอร์กางขึ้นสุดให้อารมณ์เท่ห์ทำให้ผมอดนึกถึงท้ายของ Porsche 992 ไม่ได้เลย
Eletre S ถือว่าแรงมาก ๆ แล้ว 0-100 กม./ชม. ภายใน 4.5 วินาที แต่ถ้าจะสุดระดับวาร์ปหายและนำลง track ได้ ต้องไปรุ่น Eletre R ที่ทำ 0-100 กม./ชม. เพียง 2.95 วินาทีเท่านั้น เพราะรุ่น R จะได้ Lotus Dyanmic Handling Pack มาอีกด้วย ที่จะมีฟีเจอร์ขั้นเทพอย่าง Intelligent Anti Roll Control ที่ช่วยลดอาการโยนของตัวรถไปได้อีก พร้อมการหมุนของล้อหลังที่ช่วยให้เข้าโค้งได้ง่ายและมั่นใจมากยิ่งขึ้นไปอีกครับ
ไม่อยากคิดเลยครับ นี่ขนาด Lotus Eletre ที่น้ำหนักตัว 2,740 กก. ยังขับสนุกขนาดนี้ Lotus Emeya ที่เป็น Hyper-GT จะขับสนุกขนาดไหน (Lotus Cars Thailand ได้เปิดให้ได้จองในไทยแล้ว)
การใช้งานกล้องมองข้างแบบ Side Cameras (ออปชัน) สำหรับผมถือว่าใช้งานยากกว่าที่คิด เพราะจอเราปรับความกว้างของกล้องไม่ได้ อีกทั้งยังกะระยะความห่างจากรถคันหลังยาก เพราะการมองภาพจากจอเราไม่สามารถมองเห็นมิติได้ชัดเหมือนมองผ่านกระจกจริง ๆ สำหรับผมใช้กระจกธรรมดาจะสะดวกกว่าครับ
โลโก้ Lotus สีขาวดำที่ดูโมเดิร์นขึ้น ACBC ที่เห็นด้านบนย่อมาจากชื่อเต็มของผู้ให้กำเนิดแบรนด์ Lotus นั้นก็คือคุณ Anthony Colin Bruce Chapman พร้อมบอกว่าเป็นผู้นำด้านรถ high-performance ตั้งแต่ปี 1948 นั้นเอง ส่วนชื่อของโลตัสได้มาอย่างไรต้องรอติดตามชมในคลิปรีวิวเต็มกันนะครับ
Lotus Eletre เวลาถอยจอดก็ไม่มีเสียงสังเคราะห์เลย ถือว่าอันตรายต่อผู้คนมาก !
สรุป Lotus Eletre S
ผมขอมอบให้ Lotus Eletre S คันนี้เป็นหนึ่งในรถยนต์ไฟฟ้า SUV ขนาดใหญ่ที่สมรรถนะดีมาก ขับได้เร้าใจที่สุดจากที่เคยลองมา พวงมาลัยเบาแต่คมมากตามสั่ง ตัวรถนิ่งมาก ช่วงล่างแน่นไม่กระด้างพาคนมานั่งด้วยไม่บ่นแน่นอน ดีไซน์สวยสะกดทุกสายตาอย่างแน่นอน
หากจะขับแบบประหยัดคันนี้ก็มีระยะที่วิ่งต่อการชาร์จก็เพียงพอใช้งานได้อย่างสบายใจ แถมรองรับการชาร์จ DC ไวถึง 355kW ถือว่าคันนี้คุ้มค่ากับราคา ที่ Eletre S ราคาเริ่มต้น 5.89 ล้านบาท (คันนี้กดออปชันมาเกือบ 8 แสน) ส่วน Eletre R ราคาเริ่มต้นที่ 6.59 ล้านบาท
หากเป็นเมื่อก่อนกว่าเราจะได้รถยนต์ที่ให้สมรรถนะแบบนี้ หน้าตาสมกับที่เป็น Hyper-SUV ออปชันครบจัดเต็มแบบนี้เผลอ ๆ อาจะต้องจ่ายถึง 10 ล้านบาทขึ้นไปแน่นอน (ผมขอยกให้คันนี้เป็นหนึ่งใน Editor’s Choice) หากใครงบถึงแล้วหารถไฟฟ้าตัวแรงไว้ขับสักคัน ทางเรา iMoD แนะนำเลยครับ