ใน ,

ประกันภัยรถยนต์แบบไหน คุ้มครองน้ำท่วมได้ เมื่อรถถูกน้ำท่วมต้องทำอย่างไร ชมขั้นตอนที่นี่

ช่วงฤดูฝนนี้ หลายจังหวัดโดยเฉพาะโซนภาคเหนือได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม น้ำหลาก ค่อนข้างหนัก ทำให้เกิดความเสียหายต่อรถยนต์ เรามาชมกันว่าหากเราเป็นผู้ประสบภัยรถโดนน้ำท่วม จะสามารถเคลมประกันภัยแบบไหนได้บ้าง และถ้าหากเคลมได้จะต้องทำอย่างไรบ้าง

ประกันภัยรถยนต์แบบไหน คุ้มครองน้ำท่วมได้ เมื่อรถถูกน้ำท่วมต้องทำอย่างไร ชมขั้นตอนที่นี่

ประกันรถยนต์ คือ การคุ้มครองความสูญเสียหรือความเสียหายจากการใช้รถที่เกิดขึ้นกับชีวิตและทรัพย์สิน โดยความคุ้มครองและการชดเชยค่าสินไหมทดแทนจะระบุไว้ในกรมธรรม์ของผู้เอาประกัน

ประกันรถยนต์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ประกันรถยนต์ภาคบังคับ หรือที่เราเรียกว่า พ.ร.บ. เป็นความคุ้มครองตัวบุคคล ทั้งคู่กรณีและผู้เอาประกันภัยเมื่อเกิดอุบัติเหตุ โดยจะคุ้มครองในรูปแบบของเงินชดเชย และค่าดูแลรักษาพยาบาลตามที่กำหนด ก็ตามชื่อเลย คนที่มียานพาหนะจะต้องทำประกันภาคบังคับ

ส่วนอีกหนึ่งประเภทเป็น “ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ” หรือที่เราเรียกว่าประกันชั้น 1,2, 3, 2+ และ 3+ ซึ่งจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมรถและการรักษาพยาบาลตัวบุคคล เราสามารถเลือกความคุ้มครองได้ตามต้องการ หรือเลือกที่จะไม่ทำเพิ่มก็ได้ (แต่ส่วนใหญ่ก็จะทำไว้ เพื่อความอุ่นใจเวลาที่เกิดอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน)

แล้วประกันแบบไหนที่คุ้มครองน้ำท่วมรถได้?

สำหรับประกันภาคบังคับ (พ.ร.บ.) จะไม่คุ้มครองเมื่อรถถูกน้ำท่วม จะคุ้มครองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตัวบุคคลเท่านั้น แต่ประกันที่คุ้มครองน้ำท่วมรถยนต์ได้ จะเป็นประกันภาคสมัครใจ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอยู่ 3 ประเภทด้วยกัน ได้แก่

  • ประกันชั้น 1 คุ้มครองความเสียหายน้ำท่วมอยู่แล้ว
  • ประกันชั้น 2+ (บางบริษัทคุ้มครองน้ำท่วม หรืออาจจะต้องซื้อแพ็กเกจเสริม)
  • ประกันชั้น 3+ (บางบริษัทคุ้มครองน้ำท่วม หรืออาจจะต้องซื้อแพ็กเกจเสริม)

อย่างไรก็ตาม ผู้เอาประกันควรจะตรวจสอบรายละเอียดความคุ้มครองของแต่ละประเภทก่อนซื้อประกันเสมอว่า ประกันที่เราจะซื้อนั้น คุ้มครองหรือรับผิดชอบตัวรถยนต์ เมื่อรถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ หรือน้ำท่วมหรือไม่

หากรถยนต์เผชิญสภาวะน้ำท่วม ประกันจะเคลมกรณีไหนบ้าง

1. เกิดน้ำท่วมรถจากภัยพิบัติธรรมชาติ

หากเราจอดรถเอาไว้ แล้วเกิดน้ำหลากและเคลื่อนย้ายรถหนีไม่ทัน จนถูกน้ำท่วมรถได้รับความเสียหายบางส่วน กรณีนี้ประกันรถยนต์จะรับเคลมรถ สามารถส่งเรื่องเคลมได้เลย

ถ้าหากเกิดน้ำท่วมรถจนเกิดความเสียหายโดยสิ้นเชิง (น้ำท่วมมิดคัน หรือท่วมสูงเกินคอนโซลหน้า ทำให้ห้องโดยสารเสียหาย) และบริษัทประกันฯ ประเมินแล้วว่าไม่คุ้มที่จะซ่อม จะทำการจ่ายเป็นเงินชดเชย 70-80% ของทุนประกันแทน (เงินชดเชยตามที่ประกันระบุไว้) ก็สามารถส่งเรื่องเคลมได้เช่นกัน

2. ขับรถลุยน้ำท่วมเอง ด้วยความประมาท

กรณีที่เกิดจากความประมาทของผู้ขับขี่ โดยขับรถลุยน้ำท่วมขังหรือขับรถไปในเส้นทางที่ภาครัฐมีการประกาศแจ้งเตือนแล้วว่า ถนนเส้นนั้นมีความเสี่ยงภัยน้ำท่วม แต่ผู้ขับขี่ยังขับเข้าไปจนเกิดความเสียหายกับตัวรถ ไม่ว่าจะเป็นห้องเครื่อง ระบบไฟเสียหายหรือเครื่องยนต์ดับ ในกรณีแบบนี้ทางบริษัทประกันฯ จะไม่รับเคลม

3. จอดรถติดขณะฝนตกหนักและเกิดน้ำท่วม

หากเราขับรถออกไปข้างนอก แล้วรถติดในขณะที่มีฝนตกหนัก จนเกิดน้ำท่วมในระดับที่ส่งผลทำให้ตัวรถได้รับความเสียหาย ในกรณีนี้ประกันรถยนต์จะรับเคลมรถให้ สามารถส่งเรื่องเคลมได้เลย

ขั้นตอนการเคลมประกันรถยนต์ เมื่อรถถูกน้ำท่วม

หากรถยนต์ของเราได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมในกรณีที่สามารถเคลมได้ และประกันรถยนต์ของเราคุ้มครองน้ำท่วม ก็ให้เราทำเรื่องเคลมประกันรถยนต์ได้ดังนี้

1. เตรียมเอกสารในการขอเคลมประกัน ได้แก่

  • เอกสารเกี่ยวกับตัวรถและกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ (ควรมีสำรองเอาไว้ในกรณฉุกเฉิน บริษัทประกันบางบริษัท สามารถขอกรมธรรม์ทางอีเมลได้)
  • เอกสารที่แสดงตัวว่าเป็นเจ้าของรถ เช่น ใบขับขี่ บัตรประชาชน
  • หลักฐานในที่เกิดเหตุ รูปถ่ายในขณะที่น้ำท่วมรถ แนะนำให้ถ่ายหลาย ๆ มุม และถ่ายให้เห็นป้ายทะเบียนรถ (หากน้ำท่วมไม่ถึงป้ายทะเบียน) เพื่อให้ประกันสาารถประเมินความเสียหายได้ง่ายขึ้น

หากไม่หลักฐานเป็นภาพถ่าย ให้ใช้วิธีจดบันทึกรายละเอียดของเหตุการณ์ให้ละเอียดที่สุด เช่น วันที่และเวลาที่เกิดเหตุ ความสูงของน้ำ หรือจะลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจเพื่อเป็กหลักฐานก็ได้

2. ติดต่อบริษัทประกันฯ ที่เราทำประกันรถยนต์

3. รอเจ้าหน้าที่ประกันติดต่อกลับ หรือมาตรวจสอบประเมินความเสียหาย ตามการนัดหมาย

4. เลือกศูนย์ซ่อมและอู่ เพื่อประเมินราคาซ่อม

5. รออนุมัติจากบริษัทประกัน

6. เมื่อเอกสารผ่านการอนุมัติแล้ว ก็สามารถนำรถส่งไปยังศูนย์บริการหรืออู่ที่ระบุไว้ได้เลย

กรณีที่รถยนต์ถูกน้ำท่วมจนไม่สามารถขับขี่ต่อได้ ก็จะต้องใช้บริการรถยกหรือรถสไลด์ ซึ่งอาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ตรวจสอบความคุ้มครองของประกัน, บริการช่วยเหลือจากบริษัทรถยนต์ที่เราซื้อ หรือประกันภัยอื่น ๆ ที่เราเคยทำไว้ (เช่น ประกันพ่วงกับบัตร ATM) ว่าครอบคลุมส่วนของการให้การช่วยเหลือนี้หรือไม่

สำหรับใครที่เป็นผู้ประสบภัยน้ำท่วม รถยนต์ได้รับความเสียหาย และมีประกันภัยรถยนต์ที่ครอบคลุม ก็เตรียมหลักฐานให้พร้อม และติดต่อบริษัทประกันภัยรถยนต์ที่เราทำไว้ได้เลย

บทความที่เกี่ยวข้อง

ที่มา viriyah, lotussmoney

แสดงความคิดเห็น

เขียนโดย Sakura P.