ใน , ,

เปิดตัวอย่างเป็นทางการ All New Mini Cooper E และ Cooper SE ปรับโฉมครั้งใหญ่ ทั้งภายนอก – ภายใน ใหม่ทั้งหมด

All New Mini Cooper รุ่นล่าสุด ถือเป็นเจเนอเรชันที่ 5 ที่ถูกปรับโฉมครั้งใหญ่ในรอบ 10 ปี ทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสารใหม่ทั้งหมด แนะนำด้วย Mini Cooper ไฟฟ้า100% ก่อนเป็นรุ่นแรก เพื่อให้ตอบรับกับความต้องการรถ BEV ที่มีเพิ่มขึ้นทั่วโลก

เปิดตัวอย่างเป็นทางการ All New Mini Cooper E และ Cooper SE ปรับโฉมครั้งใหญ่ ทั้งภายนอก – ภายใน ใหม่ทั้งหมด

เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2023 ที่ผ่านมา ได้ฤกษ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการทั้ง Mini Cooper และ Mini Countryman ในรูปแบบ All New เจเนอเรชันใหม่ล่าสุด โดยเลือกใช้เวทีงานมหกรรมยานยนต์ International Motor Show Germany 2023 ในเมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-10 กันยายน 2023 นี้ โดยยังคงใช้ตัวถังแฮทช์แบ็ค 3 ประตูสุดคลาสสิค และมีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ได้แก่ Mini Cooper E และ Mini Cooper SE

ดีไซน์ภายนอก

การออกแบบภายนอกยังคงรักษาความเป็นเอกลักษณ์ของ Mini เอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าทรงกลม ที่ติดตั้งมาพร้อมแบบ Full LED ที่สามารถปรับโหมดการส่องสว่างได้ทั้งหมด 3 รูปแบบ ทำงานร่วมกับไฟหน้าใหญ่ที่ถูกปรับปรุงใหม่ทั้งหมด ที่ออกแบบให้เข้ากับชุดกระจังหน้าขนาดใหญ่ พร้อมด้วยช่องรับอากาศสไตล์รถเครื่องยนต์สันดาปภายในทั่วไป บริเวณใต้ทะเบียนรถ

จากด้านข้างของตัวรถ ยังคงไว้เส้นสายที่เรียบง่ายแต่ทันสมัย สัมผัสได้ถึงมิติตัวรถที่ใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นปัจจุบัน เพิ่มความทันสมัยด้วยมือเปิดประตูแบบเรียบเนียนไปกับตัวรถแบบ BMW ยุคใหม่ เพื่อเพิ่มให้หลักอากาศพลศาสตร์มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น คิ้วซุ้มล้อสีดำหายไปในรุ่นใหม่นี้ เหลือไว้เพียงชายล่างของตัวถังเป็นสีดำ และมาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 17 หรือ 18 นิ้ว

จากด้านท้ายของตัวรถ มาพร้อมไฟท้ายดีไซน์ทรง 3 เหลี่ยมใหม่ที่แปลกตา ที่ไม่เคยมีมาก่อน เพื่อเสริมให้กับฝากระโปรงท้าย ตัวรถดูมีมิติและมีความกว้างมากขึ้น พร้อมด้วยกันชนท้ายที่ติดตั้งแผงทับทิมแบบสะท้อนแสงขนาดเล็กในแนวตั้ง และซ่อนไฟถอยสีขาวไว้บริเวณชายกันชนล่างตรงกลางอย่างแนบเนียน

ขุมพลัง

All New Mini Cooper มาพร้อม 2 รุ่นย่อย ดังนี้

Mini Cooper E

  • มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าตัวเดียว ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า ให้พละกำลังสูงสุด 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 290 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ความจุ 40.7 kWh อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เพียง 7.3 วินาที สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุด 305 กม. ตามมาตรฐาน WLTP รองรับการชาร์จไฟกระแสสลับ AC สูงสุด 11 kW และรองรับการชาร์จไฟกระแสตรง DC สูงสุด 75 kW

Mini Cooper SE

  • มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าตัวเดียว ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า ให้พละกำลังสูงสุด 218 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 330 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ความจุ 54.2 kWh อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เพียง 6.7 วินาที สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุด 402 กม. ตามมาตรฐาน WLTP รองรับการชาร์จไฟกระแสสลับ AC สูงสุด 11 kW และรองรับการชาร์จไฟกระแสตรง DC สูงสุด 95 kW

ดีไซน์ภายใน

ภายในของ Mini Cooper รุ่นใหม่นี้ มีการออกแบบใหม่ทั้งหมด ให้มีความเรียบง่ายมากขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นปัจจุบัน โดยมีหน้าจอสัมผัส OLED ทรงกลมขนาดใหญ่ ที่อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีมากมาย ขนาด 9.44 นิ้ว ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Mini Operating System 9 เป็นศูนย์กลางที่รวมการเชื่อมต่อต่างๆ และแสดงข้อมูลที่จำเป็นอย่างครบถ้วน ทำงานภายใต้ระบบ Android Open Source Project (AOSP) ซึ่งระบบตัวเดียวกันกับ iDrive 9 ของ BMW และมาพร้อมด้วยผู้ช่วยส่วนตัว Hey MINI ! เป็นครั้งแรก

Mini ยังคงติดตั้งปุ่มกดแบบทั่วไปมาให้บริเวณใต้จอกลาง ที่ออกแบบให้ย้อนยุคเล็กน้อย พร้อมด้วยปุ่มสวิตช์ตัวเลือกตำแหน่งเกียร์ อยู่ข้างๆปุ่ม Start/Stop และมีปุ่มควบคุมเครื่องเสียงอยู่ข้างๆด้วย นอกจากนี้ยังมาพร้อมพวงมาลัยดีไซน์ใหม่ ที่มีการติดตั้งปุ่มควบคุมแบบกดใช้งานง่าย ในส่วนพื้นที่เก็บของสัมภาระท้ายมีความจุ 200 ลิตร และเมื่อพับเบาะ มีความจุมากถึง 800 ลิตร

การตกแต่งภายใน แบ่งออกเป็น 4 รูปแบบ ได้แก่ Essential, Classic, Favoured และ John Cooper Works (JCW) ที่มีรายละเอียดการตกแต่งภายในแตกต่างกันไป รวมทั้งวัสดุภายใน, วัสดุหุ้มเบาะ และโทนสีต่างๆ ให้เข้ากับแต่ละรุ่นย่อย

Mini Cooper รุ่นใหม่นี้ ใช้แพลตฟอร์ม Spotlight EV ที่พัฒนาขึ้นร่วมกันโดย BMW Group และ Great Wall Motor ซึ่งจะเข้าสู่สายการผลิตในประเทศจีน ในปลายปีนี้

(ซ้าย) Mini Cooper SE 2023 (ขวา) Mini Cooper SE 2024
(ซ้าย) Mini Cooper SE 2023 (ขวา) Mini Cooper SE 2024
(ซ้าย) Mini Cooper SE 2023 (ขวา) Mini Cooper SE 2024

ที่มา – motor1 และ autolifethailand

แสดงความคิดเห็น

เขียนโดย Sahakrit S