ใน , , , , ,

Ferrari F80 ไฮเปอร์คาร์เทคโนโลยี F1 มาเต็ม สานต่อ LaFerrari

Ferrari เปิดตัวไฮเปอร์คาร์เรือธงคันใหม่ใช้ชื่อว่า F80 เครื่อง V6 เทอร์โบคู่ ทำงานคู่กับระบบไฮบริด คันนี้เป็นการรับช่วงต่อจาก LaFerrari ที่ใช้เครื่องยนต์ V12 ครั้งนี้ถือเป็นการลดขนาดสูบลงถึงครึ่งเลยทีเดียวครับ

Ferrari F80 ไฮเปอร์คาร์เทคโนโลยี F1 มาเต็ม สานต่อ LaFerrari

Ferrari F80 เป็นไฮเปอร์คาร์คันใหม่สำหรับปี 2026 เข้าร่วมไลน์อัพโมเดลตัวสุดอย่าง 288 GTO และ LaFerrari

ระบบส่งกำลัง เกียร์ และเทคโนโลยี

Ferrari F80 ได้นำความซับซ้อนทางวิศวกรรมด้วยการนำเทคโนโลยีจากแข่งรถ Formula 1 ของ Ferrari มาใช้ เครื่อง V6 3.0 ลิตร เทอร์โบคู่เครื่องเดียวกันกับ 296 GTB ทำให้ F80 มีพละรวมกำลังถึง 1,184 แรงม้า ทำความเร็ว 0-100 กม./ชม. ได้ใน 2.2 วินาที พร้อม Aerodynamic แบบแอคทีฟ เกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ 8 สปีด และระบบช่วงล่างกันสะเทือนขั้นสูง ทำอัตราเร่งจาก 0-200 ในเวลาเพียง 5.8 วินาที เท่ากับ McLaren W1 ที่เพิ่งเปิดตัวไป

คันนี้ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า​ 2 ตัวที่ล้อคู่หน้า F80 มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เสริมด้วยระบบกันสะเทือนแบบแอคทีฟพร้อมมอเตอร์ 48W ที่ควบคุมความแข็งของแดมเปอร์ เพื่อให้มั่นใจถึงประสิทธิภาพสูงสุดบนท้องถนนF80 มีน้ำหนักตัวเพียง 1,525 กก. ถือว่าเบากว่า SF90 ที่ 100 กก. ทำให้ F80 เป็นไฮเปอร์คาร์มาตรฐานใหม่ให้กับแบรนด์ Ferrari ในปัจจุบัน

ราคาค่าตัว Ferrari F80

Ferrari F80 เริ่มต้นที่ประมาณ 3,100,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 103,000,000 บาท) แม้ว่า Ferrari ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดราคารวมถึงหมายเลขการผลิตที่แน่นอน

Aerodynamic และระบบกันสะเทือนของ F80

Ferrari F80 มีคุณสมบัติเด่นด้านอากาศพลศาสตร์ที่สามารถสร้างแรงกดได้ถึง 460 กก. ในย่านความเร็วที่ 250 กม./ชม. ด้วยเทคโนโลยีจากรถแข่ง เช่น ช่องลมฝากระโปงแบบ S-ducts ได้รับแรงบันดาลใจจาก Ferrari 499P พร้อมระบบกันสะเทือนแบบแอคทีฟ ช่วยเพิ่มการควบคุมอากาศและแรงกดให้เหมาะสม ระบบปีกหลังสามารถปรับได้ทั้งความสูง และมุมเพื่อให้เหมาะสมกับการขับในสนามสูงสุด

อีกหนึ่งฟีเจอร์คือ “Boost Optimization” ที่ช่วยบูสต์พลังให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงของสนามแข่ง จดจำแผนที่สนาม และเลือกบูสต์พละพลังเฉพาะโซนที่ต้องการ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขับในโหมดต่าง ๆ บนสนามแข่งด้วยความบ้าพลัง

การออกแบบภายใน

การออกแบบห้องโดยสารของ F80 เน้นไปที่คนขับโดยเฉพาะ ด้วยพวงมาลัยขนาดเล็กด้านตัดบนล่าง จอแสดงผลดิจิตอลขนาดเล็กที่สุดของ Ferrari เรียกมันว่า “1+” แสดงให้เห็นว่าตำแหน่งคนขับถือเป็นจุดโฟกัสหลักของคันนี้ ส่วนที่นั่งผู้โดยสารใช้โครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์จากตัวรถ เบาะคนขับใช้สีแดงสด แต่เบาะคนนั่งจะไม่สามารถปรับได้และใช้เป็นสีดำแทน

ภายใน F80 ไม่ได้ใช้ระบบความบันเทิงแบบทั่วไป เน้นใช้งานที่หน้าจอดิจิตอลหลังพวงมาลัยเป็นส่วนใหญ่ จอกลางขนาดเล็กจะสามารถควบคุมได้เพียงระบบแอร์เท่านั้น คันนี้จะไม่มีระบบ Wi-Fi หรือระบบสั่งการด้วยเสียง เนื่องจากคันนี้เน้นเพียงเรื่องการขับขี่โดยเฉพาะ

คุณสมบัติด้านความปลอดภัย และการช่วยเหลือผู้ขับขี่

แม้ F80 จะเน้นด้านประสิทธิภาพกับขับขี่อย่างมาก แต่ Ferrari ก็ได้ให้ระบบการช่วยเหลือผู้ขับขี่ เช่น ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ, Adaptive cruise control, ระบบช่วยรักษาอยู่ในเลน และไฟสูงอัตโนมัติ

Ferrari ได้นำ F80 ทำการทดสอบการชนโดยละเอียดสำหรับ NHTSA และ IIHS ด้วยเกณฑ์คุณสมบัติด้านความปลอดภัยดังนี้ :

  • การเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติมาตรฐาน
  • การแจ้งเตือนการออกจากเลนมาตรฐานพร้อมระบบช่วยรักษาเลน
  • ระบบควบคุมความเร็วแบบปรับได้มาตรฐาน

Ferrari จะผลิต F80 เพียง 799 คันเท่านั้น ณ ตอนนี้มีเจ้าของครบแล้วทั้ง 799 คัน ถือว่าเป็นจำนวนการผลิตที่มากกว่า McLaren W1ที่ผลิตทั้งหมดเพียง 399 คัน (ขายหมดไปแล้วเช่นกัน) หลังจากนี้ก็จะเป็นคิวการเปิดตัวไฮเปอร์คาร์ของ Porsche ที่มาจากคอนเซ็ปอย่าง Mission X นั่นเองครับ

ที่มา : Car And Driver และ Carwow

 

แสดงความคิดเห็น

เขียนโดย Nuttanon P.