ใน

รถยนต์ไฟฟ้า EV เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร ชมข้อมูลที่นี่

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รถยนต์ไฟฟ้าได้รับความสนใจมากขึ้น ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าขึ้นมาคือ เพื่อการอนุรักษ์และเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม และเนื่องในวันคุ้มครองโลกนี้ ทีมงานก็มีข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มาแนะนำให้ชมกัน เพื่อเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงโลกอย่างยั่งยืน

รถยนต์ไฟฟ้า EV เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร ชมข้อมูลที่นี่

1. รถ EV ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

รถยนต์ไฟฟ้าล้วนไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากท่อไอเสียออกมา เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าไม่มีการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลเหมือนกับรถยนต์น้ำมัน

ดังนั้น ถ้าหากผู้คนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ก็จะช่วยขจัดกระบวนการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงได้และยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากขึ้น จนส่งผลดีต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ช่วยลดอุณหภูมิโลกให้เย็นลง และลดความแปรปรวนของสภาพอากาศที่รุนแรง

2. รถ EV ส่งผลให้คุณภาพอากาศดีขึ้น

รถยนต์ไฟฟ้ามีส่วนทำให้อากาศที่เราใช้หายใจกันอยู่สะอาดมากขึ้น เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าสามารถลดมลพิษได้ อย่างเช่น คาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ และฝุ่นละอองต่าง ๆ  ที่ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจโดยตรง

ถ้าหากเราอยู่ในที่ที่มีการปล่อยควันหรือมลพิษ เราก็จะรู้สึกหายใจไม่สะดวก อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจอย่างปอดก็ได้รับผลกระทบโดยตรง ส่งผลอันตรายถึงชีวิต ดังนั้นถ้าหากมีการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นจนทำให้อากาศสะอาดขึ้น สุขภาพของผู้คนบนโลกก็จะดีขึ้นด้วย

3. รถ EV ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิง มีประสิทธิภาพมากกว่า ประหยัดพลังงานได้มากกว่า

รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ประหยัดพลังงานมากกว่ารถยนต์สันดาป (ICE) เนื่องจากการแปลงพลังงานไฟฟ้ามาเป็นพลังงานกลในรถยนต์ไฟฟ้านั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟิสซิลในรถยนต์น้ำมัน

รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า ยังสามารถใช้ประโยชน์จากแหล่งพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ ที่สามารถแปลงมาเป็นไฟฟ้าได้ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ( Solar Cell) และพลังงานลม จึงทำให้ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลหรือน้ำมันที่เป็นทรัพยากรจำกัด

ทั้ง 3 ข้อนี้ ถึงแม้ว่าจะทำให้เราได้เห็นประโยชน์ของรถยนต์ไฟฟ้าที่มีต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว แต่ในสังคมปัจจุบันก็ยังคงมีความท้าทายและมีข้อกังวลอยู่บ้าง เช่น

  • ความท้าทายด้านโครงสร้างพื้นฐานของการชาร์จที่มีสถานีชาร์จค่อนข้างจำกัด อาจจะไม่เพียงพอต่อผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้น
  • ระยะเวลาการชาร์จที่นานกว่าการเติมน้ำมัน
  • ความกังวลเรื่องระยะทางที่อาจจะไม่เพียงพอต่อการเดินทาง
  • ข้อถกเถียงเกี่ยวกับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ยังคงมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ยังไม่ใช่พลังงานสะอาด 100%
  • การจำกัดของแบตเตอรี่และราคาของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าที่ค่อนข้างสูง สร้างความกังวลให้กับผู้ที่กำลังพิจารณาในการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า

อย่างไรก็ตาม การใช้รถยนต์ไฟฟ้ายังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั่วโลก ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ต่างก็ลงทุนมหาศาลในการพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าและมีเป้าหมายผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดภายในปี 2030

ปัจจุบันผู้ผลิตต่างก็แข่งขันด้านการลดต้นทุนและการพัฒนาเทคโนโลยีให้ก้าวหน้าขึ้น เพื่อให้ได้รถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาไม่แพง มีระยะทางไกลขึ้น และใช้เวลาในการชาร์จน้อยลง สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น รวมถึงผู้ผลิตก็เริ่มลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จที่ครอบคลุมมากขึ้น เพื่อให้เพียงพอต่อการใช้งาน และที่สำคัญผู้ผลิตยังได้บูรณาการแหล่งพลังงานหมุนเวียนด้วย ซึ่งช่วยเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดอย่างแท้จริง

แน่นอนว่าการลดการใช้รถยนต์สันดาป (ICE) และหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) นั้นมีส่วนช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและลดมลพิษได้ในภาคการขนส่งได้ แต่ในโลกนี้ก็ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมายที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและอุณหภูมิโลก ไม่ว่าจะเป็นมลพิษจากภาคอุตสาหกรรม การตัดต้นไม้ทำลายป่า เป็นต้น

ดังนั้นเนื่องในวันคุ้มครองโลกนี้ ก็อยากจะให้ทุกคนตระหนักปัญหาสิ่งแวดล้อมและช่วยกันอนุรักษ์ ปรับปรุง และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมกันมากขึ้น อาจจะเริ่มจากเรื่องใกล้ตัวก่อน เช่น การลดการใช้พลาสติก ลดการใช้กระดาษหรือเอกสาร ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วยการเผา เป็นต้น และหากต้องเลือกซื้อยานพาหนะใช้งาน ก็อาจจะพิจารณาซื้อรถยนต์ไฟฟ้า โดยคำนึงถึงความพร้อมของตนเองด้วย

ที่มา green

แสดงความคิดเห็น

เขียนโดย Sakura P.