สรุปบทสัมภาษณ์ คุณโคจิ อิวานามิ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด จากงาน Japan Mobility Show 2025 ณ กรุงโตเกียว
CEO Honda เผย สู้รถจีนได้ ทั้งราคาและประสิทธิภาพ กางแผนปรับกลยุทธการแข่งขันในไทย
ภาพรวมการแข่งขันและทิศทางตลาด
ผู้บริหาร Honda ยืนยันว่าแบรนด์ยังสามารถแข่งขันกับรถยนต์จีนได้ทั้งในด้าน “ราคา” และ “ประสิทธิภาพ” โดยบริษัทได้ปรับกลยุทธ์การตลาดเพื่อรับมือกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในไทย ซึ่งปัจจุบันรถยนต์จีนมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ยอดขายของ Honda ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อนหน้า

เพื่อกระตุ้นตลาด Honda ได้ปรับลดราคาของ Honda City พร้อมจัดแคมเปญพิเศษ ส่งผลให้ยอดขายในช่วงเดียวกันของปีล่าสุดกลับมาเติบโตมากกว่าปีก่อน และเตรียมเปิดตัว Model Change แบบ Minor และ Full Model Change หลายรุ่นเริ่มต้นในปี 2026 เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในทุกเซกเมนต์
กลยุทธ์ระยะใกล้ (3–5 ปีข้างหน้า)
ในช่วง 3–5 ปีนี้ Honda จะมุ่งเน้นการทำตลาด e:HEV (Hybrid) เป็นผลิตภัณฑ์หลัก เนื่องจากผู้บริโภคชาวไทยให้ความสำคัญกับ “ความประหยัดน้ำมัน” และ “ความคุ้มค่าในการเป็นเจ้าของ”

ผู้บริหาร Honda ระบุว่า ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทยยังไม่พร้อมเต็มที่ ด้วยข้อจำกัดสำคัญ ได้แก่
- สถานีชาร์จในต่างจังหวัดยังไม่เพียงพอ
- ราคาขายต่อของรถ EV ยังต่ำ
- ผู้บริโภคชาวไทยยังมองรถยนต์เป็นทรัพย์สินที่ต้องมีมูลค่าขายต่อ
เพื่อตอบโจทย์นี้ Honda จึงอยู่ระหว่างการ พัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่เสื่อมน้อยลง (SOH ลดช้ากว่าเดิม) เพื่อให้รถยนต์ไฟฟ้ามีมูลค่าขายต่อสูงขึ้น และสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าในระยะยาว
ทิศทางการพัฒนาและขยายตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV)
Honda จะรุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ “เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม” — คือเมื่อราคาก้อนแบตเตอรี่ลดลง ความทนทานเพิ่มขึ้น และโครงสร้างสถานีชาร์จทั่วประเทศพร้อมรองรับ
- ปี 2026 จะมี รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่เปิดตัว แต่โมเดลหลักของปีนั้นยังคงเป็นรถ Hybrid
- ยังไม่ยืนยันว่าจะผลิต EV ในไทยหรือไม่ อยู่ระหว่างการประเมินความเหมาะสมของฐานการผลิตทั่วโลก
- Honda ตั้งเป้า ภายใน 5 ปีข้างหน้า (ก่อนปี 2030) จะเข้าสู่ตลาด EV อย่างจริงจัง
- ยืนยันว่าต้นทุนการผลิต EV ในปัจจุบันยังสูงกว่ารถเครื่องยนต์สันดาป แต่กำลังพัฒนาให้ “ถูกกว่า” ในอนาคต

กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์และราคา
Honda ยอมรับว่าออปชันในรถบางรุ่นยังไม่ครบเท่าคู่แข่ง แต่ตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป จะทยอยปรับปรุงให้มี ออปชันครบขึ้นในรุ่น Full Model Change รวมถึงปรับราคาจำหน่ายให้เหมาะสมกับความคุ้มค่าและกลุ่มเป้าหมายแต่ละเซกเมนต์ บริษัทตั้งเป้า กลับมาทำยอดขายทะลุ 100,000 คันต่อปีภายในปี 2030
การผลิตและการนำเข้ารถยนต์
Honda พร้อมใช้ฐานการผลิตและนำเข้าจากทั่วโลก เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาดไทยมากที่สุด โดยวางกลุ่มเป้าหมายหลักไว้ที่
- รถยนต์ไฟฟ้ากลุ่ม B-Segment และ C-Segment
- เน้น SUV และ Smart Car ซึ่งเหมาะกับตลาดไทย
- รูปแบบ Sedan และ Hatchback ยังมีโอกาสพัฒนาต่อไปหากมีความต้องการในตลาด

โรงงาน Honda จ.ปราจีนบุรี พร้อมรองรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) เมื่อถึงเวลาที่ตลาดพร้อมและมีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์
ความร่วมมือกับภาครัฐและนโยบายอุตสาหกรรม
Honda แสดงความชื่นชมรัฐบาลไทยที่ให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจัง และเตรียมเข้าหารือกับ รองนายกรัฐมนตรีและสำนักงาน BOI ในเดือนหน้า เพื่อพูดคุยประเด็นต่อไปนี้
- ขอให้ คงอัตราภาษีสำหรับรถ Hybrid ที่ไม่เพิ่มขึ้น
- ผลักดันให้เกิด โครงสร้างภาษีที่เป็นธรรมและแข่งขันได้ ระหว่างรถแต่ละประเภท
Honda ยืนยันว่าไม่ได้ขอ “ภาษีนำเข้า 0%” สำหรับ EV ทุกคัน แต่ต้องการ ส่งเสริมการผลิตในประเทศไทย เป็นหลัก และในกรณีที่ต้องนำเข้า อยากให้มี อัตราภาษีนำเข้าที่เหมาะสมและยืดหยุ่น

การแข่งขันและเทคโนโลยีในอนาคต
ในปี 2030 Honda มองว่า Toyota และ BYD จะยังคงเป็นคู่แข่งหลักในตลาดรถยนต์นั่งของไทย กลยุทธ์การแข่งขันของ Honda จะเน้น
- ความน่าเชื่อถือของแบรนด์
- คุณภาพของผลิตภัณฑ์
- บริการหลังการขายที่มั่นใจได้ มากกว่าการแข่งขันด้านราคาโดยตรง

นอกจากนี้ Honda ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา
- เทคโนโลยีแบตเตอรี่ต้นทุนต่ำและทนทานสูง ด้วยการทดลองสูตรเคมีหลายรูปแบบ
- แพลตฟอร์ม SDV (Software-Defined Vehicle)
- ระบบ Driving Assist L2.5+ ซึ่งคาดว่าจะพร้อมใช้งานภายในปี 2030

Honda ยังคงเดินเกมอย่างมั่นคงและระมัดระวัง โดยใช้เทคโนโลยี Hybrid เป็น “สะพานเชื่อม” สู่ยุค EV อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมปรับกลยุทธ์ด้านราคาและออปชันให้แข่งขันกับแบรนด์จีนได้

ขณะเดียวกันก็เตรียมความพร้อมด้านการผลิตในไทย และร่วมมือกับภาครัฐอย่างใกล้ชิด เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์นั่งของประเทศไทยภายในปี 2030

สรุปโดย อรรถพล ทะแพงพันธ์ ทีมงาน iMoD Drive 29 ตุลาคม 2025
