Subaru และ Toyota ร่วมมือสานต่อแผนการสร้างรถครอสโอเวอร์ไฟฟ้าใหม่ 3 รุ่น ซึ่งการที่ Subaru ร่วมมือกับ Toyota นั้น จะช่วยลดความเสี่ยงของบริษัทในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าล้วน
Subaru ร่วมมือ Toyota สร้างรถครอสโอเวอร์ไฟฟ้า (EV) ใหม่ 3 รุ่น ภายในปี 2026
หลังจากที่ Subaru ได้ซีอีโอคนใหม่ Osaki เข้ามาดูแลบริษัทเมื่อเดือนเมษายนปี 2023 ที่ผ่านมา บริษัทก็ตั้งเป้าให้รถยนต์ไฟฟ้ามีส่วนแบ่ง 50% ของยอดขายทั้งหมด หรือประมาณ 600,000 คัน ภายในปี 2030
ภาพ Render ของ Subaru SUV ไฟฟ้า 7 ที่นั่ง โดย Vince Burlapp (burlappcar.com)
แผนดังกล่าวกำหนดให้บริษัทสร้างรถ SUV ไฟฟ้าล้วน 4 รุ่นภายในปี 2026 ซึ่งรวมถึงรถรุ่น Solterra ที่วางขายไปแล้ว และแผนถัดไปของ Subaru คือการสร้างรถยนต์ไฟฟ้าใหม่อีก 4 รุ่น ภายในสิ้นปี 2028 รวมทั้งหมดเป็น 8 รุ่นด้วยกัน
Solterra รถ SUV ไฟฟ้ารุ่นแรกของ Subaru ที่พัฒนาร่วมกับ Toyota เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2021 เมื่อปีที่แล้วรถรุ่นนี้ทำยอดขายได้ 8,872 คันในสหรัฐอเมริกา ซึ่งปัจจุบันรถรุ่น Solterra ถูกผลิตที่โรงงานของ Toyota ในประเทศญี่ปุ่น Osaki เผยว่าหลังจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้าล้วนใหม่อีก 3 รุ่นจะพัฒนาร่วมกับ Toyota ด้วยเช่นกัน
Subaru Solterra รถยนต์ไฟฟ้าคันแรกของแบรนด์ ภาพ Topgear
Toyota ถือหุ้น 20% ในบริษัท Subaru ซึ่งการที่ Subaru ให้ Toyota พัฒนารถยนต์ไฟฟ้าร่วมกันนั้นจะช่วยลดความเสี่ยงในการเปลี่ยนมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัท Osaki ยังกล่าวเสริมว่า ในขณะที่ตลาดรถยนต์มีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น บริษัทจะต้องดำเนินการไปพร้อม ๆ กับการศึกษาสถานการณ์อย่างระมัดระวัง
ถ้าหาก Subaru ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกา ก็จะทำให้บริษัทเข้าร่วมเครดิตภาษีรถยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ได้ ซึ่งอาจจะช่วยเพิ่มยอดขายและความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น
แผนการผลิตของ Subaru จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ 1 รุ่นที่โรงงาน Yajima ในประเทศญี่ปุ่น โดยวางแผนเริ่มการผลิตในญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2025 ด้วยกำลังการผลิต 200,000 คันต่อปี และจะเพิ่มสายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอีก 200,000 คันภายในปี 2027
ส่วน Toyota ก็จะผลิตรถ SUV ไฟฟ้าใหม่อีก 1 รุ่นในสหรัฐอเมริกา ที่โรงงานรัฐเคนตักกี้ ซึ่งจะเป็นรถ SUV ไฟฟ้า 3 แถวที่นั่งคันแรกของ Subaru หลังจากที่เปิดตัวรถ SUV ขนาดใหญ่ของตนเอง
นอกจะร่วมมือกับ Toyota ในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่นใหม่แล้ว Subaru ยังมีแผนขยายกลุ่มรถยนต์ไฮบริดด้วย เนื่องจากบริษัทยังมองว่าการขายรถยนต์สันดาปยังคงมีความสำคัญ และอาจจะไม่เสี่ยงเท่ากับขายรถยนต์ไฟฟ้าล้วนเพียงอย่างเดียว
ที่มา electrek