ปัจจุบันผู้ผลิตรถยนต์ต่างมาโฟกัสกับรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) มากขึ้น แต่คาดว่ารถยนต์ PHEV จะเป็นเพียงกระแสชั่วคราวเท่านั้น เมื่อเทียบกับเป้าหมายระยะยาวของรถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV) มาชมข้อมูลจากการศึกษาของ J.D Power ที่เป็นผู้นำด้านบริการด้านองค์ความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้บริโภคกัน
J.D Power เผยจากข้อมูลการศึกษา รถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV) ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่อาจจะช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้
สื่อ นักวิจารณ์ และนักเคราะห์ด้านรถยนต์ไฟฟ้าต่างก็บอกว่า ยอดรถยนต์ไฟฟ้าลดลงอย่างมากในปัจจุบัน และความพยายามในการเปลี่ยนผ่านสู่การปล่อยมลพิษเป็นศูนย์อาจเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ แต่ข้อมูลการศึกษาล่าสุดจาก J.D Power เผยว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าล้วน BEV ดีขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา และยอดขายจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน แต่ความสนใจในการนำเทคโนโลยีมาใช้นั้นอาจจะช้ากว่าที่คิด
J.D Power เผยว่า บริษัทได้ปรับการคาดการณ์การนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ลดลง เนื่องจากการเติบโตในปัจจุบันชะลอตัวลงมาก จากในช่วงแรกที่บริษัทคาดการณ์ว่าตลาดรถยนต์ใหม่ในสหรัฐอเมริกาจะประกอบด้วยรถยนต์ไฟฟ้า 12% ภายในปี 2025 แต่ตอนนี้ได้ปรับการคาดการณ์ลงมาเป็น 9% เท่านั้น แต่คาดว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2030 จะคิดเป็น 36% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด และจะเติบโตไปจนถึง 58% ภายในปี 2035
J.D. Power กล่าวว่ามีหลายสาเหตุที่ทำให้ต้องมีการปรับการคาดการณ์ใหม่ ซึ่งหนึ่งในสาเหตุหลักคือการเติบโตของรถยนต์น้ำมันเบนซิน โดยเฉพาะการเติบโตของรถยนต์ PHEV
ถึงแม้ว่ารถยนต์ไฮบริด HEV และรถยนต์ไฟฟ้าล้วน BEV จะมีส่วนแบ่งการขายสูงที่สุดในหมวดหมู่รถยนต์พลังงานไหม่ โดย HEV มีส่วนแบ่ง 8.6% และ BEV มีส่วนแบ่ง 8.4% แต่รถยนต์ PHEV ก็ได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วงไม่นานมานี้ คิดเป็น 1.8% ของยอดขายปลีก เพิ่มขึ้น 3 เท่าจากปี 2020 ที่คิดเป็น 0.6%
อย่างไรก็ตาม J.D. Power ยังคงยืนยันว่าความสนใจในรถยนต์ PHEV ที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นเพียงกระแสชั่วคราวเท่านั้น เนื่องจากรถยนต์ PHEV ได้รับคะแนนที่ต่ำกว่ารถยนต์ BEV ในด้านความพึงพอใจของผู้ใช้และค่าใช้จ่ายในการใช้งาน
หนึ่งเหตุผลที่รถยนต์ PHEV ได้รับความนิยมในช่วงนี้ก็คือ ผู้คนยังกังวลเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานในการชาร์จ แม้ว่าคนส่วนใหญ่ที่มีรถยนต์ไฟฟ้ามักจะชาร์จรถที่บ้าน แต่การในการเดินทางที่ต้องชาร์จรถตามสถานีให้บริการทั้งแบบ Level 2 และ DC ยังคงไม่ตอบโจทย์มากนัก โดยคะแนนการชาร์จในสถานีสาธารณะปีนี้ได้ระดับ แย่ ซึ่งดีขึ้นจากปีที่แล้วจากระดับ แย่มาก แต่ก็ยังไม่ถึงกับดีจนทำให้ผู้ใช้พึงพอใจ
บริษัทเผยข้อมูลเพิ่มเติมว่า ผู้ขับขี่ประมาณ 66% มีแนวโน้มที่จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแทนรถยนต์น้ำมัน เนื่องจากราคาสามารถเอื้อมถึงได้มากขึ้น และผลสำรวจยังระบุว่า 72% ของรถยนต์ไฟฟ้าที่วางขายในตลาดได้รับการเช่าซื้อ เนื่องจากแรงจูงใจจากผู้ผลิตและเงินอุดหนุน 7,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ จากกฎหมายลดอัตราเงินเฟ้อของรัฐบาลสหรัฐฯ ผลสำรวจสองอย่างนี้ จะช่วยให้การซื้อรถยนต์ไฟฟ้าใหม่เป็นได้มากขึ้น
นอกจากนี้ ข้อมูลจากการตอบแบบสำรวจระบุว่า 94% ของผู้ที่มีรถยนต์ไฟฟ้าล้วน BEV มีแนวโน้มที่จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าอีกคัน ดังนั้นเมื่อการเช่าซื้อสิ้นสุดลง ผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าจะยังคงซื้อรถยนต์ไฟฟ้าล้วนต่อไป
โดยรวมแล้ว ถึงแม้ว่าสถานการณ์การเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าล้วน BEV ในปัจจุบันยังไม่ค่อยดีนัก แต่ J.D Power ยังคงมองว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ถ้าหากมีการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จและราคาที่เอื้อมถึงได้สำหรับผู้สนใจรถยนต์ไฟฟ้า
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้นพบว่า ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายกำลังถอยจากแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าล้วน โดยเผยว่า บริษัทไม่สามารถทำเงินจากรถยนต์ไฟฟ้าในราคาถูกได้ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้นักวิเคราะห์ยืนกรานว่ารถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกจะไม่มีวันเกิดขึ้นจริงจากแบรนด์รถยนต์ที่มีชื่อเสียง
แต่ในขณะเดียวกันนั้น แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าประเทศจีนก็ต่างผลิตรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกมากขึ้น โดยเฉพาะ BYD ที่เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ในราคาที่ต่ำลง เพื่อแข่งขันกับรถยนต์น้ำมัน และมุ่งเน้นขยายไปยังตลาดต่างประเทศมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะเจออุปสรรคกำแพงภาษีในสหรัฐอเมริกา แคนาดา และยุโรป
ตามมาด้วย Xpeng ที่เปิดตัว Mona M03 ล่าสุด ทำราคาได้ถูกว่า Tesla Model 3 กว่าครึ่ง และคาดว่าจะมีอีกหลาย ๆ แบรนด์ในจีนเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าในราคาถูกมากขึ้น เพื่อให้ทันต่อการแข่งขัน ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ขับเคลื่อนให้รถยนต์ไฟฟ้าล้วนเติบโตได้เร็วมากขึ้นในอนาคต
ที่มา insideevs