ใน , , , , ,

ตารางเทียบ 15 แบรนด์ จำนวนรถ EV ช่วยภาวะโลกร้อนภายในปี 2030

ผู้ผลิตรถยนต์ได้ประกาศแผนเกี่ยวกับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและโมเดลต่างเพื่อนำออกมาขาย เพื่อร่วมรนรงค์ภาวะโลกร้อน ถึงกระนั้น ผู้ผลิตรถยนต์บ้างเจ้ายังคงต่อต้านรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ และเดินหน้าผลักดันรถยนต์เครื่องสันดาปเหมือนเดิม ซึ่งอาจจะขัดกับการส่งเสริมการลดการปล่อยมลพิษ มาชมรายละเอียดกับกราฟวิเคราะห์นี้กันครับว่าแต่ละแบรนด์ร่วมโครงการและวางแผนเกี่ยวกับ EV ในอนาคตอย่างไรบ้าง

ตารางเทียบ 15 แบรนด์ จำนวนรถ EV ช่วยภาวะโลกร้อนภายในปี 2030

ปัจจุบันอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าได้เปลี่ยนไปอย่างมาก เมื่อ 5-10 ปีที่แล้ว ผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่หัวเราะเยาะรถยนต์ไฟฟ้า เดินเกมช้าในช่วงเปลี่ยนผ่าน และมีแผนการใช้พลังงานไฟฟ้าในรถเพียงเล็กน้อยเท่านั้น กล่าวได้ว่าทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่การมาของ Tesla Model 3 และ Y รวมถึงตลาดรถ EV ที่เฟื่องฟูของจีน

“การวิเคราะห์จาก New InfluenceMap พบว่าผลกระทบการต่อต้านการใช้งานรถพลังงานใหม่ ๆ NEV หรือรถ EV ส่งผลอย่างมากให้กับภาวะโลกร้อนโดยตรงในช่วงที่เริ่มก้าวสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้านี้” InfluenceMap ได้เขียนไว้

“การรายงานจากการวิเคราะห์เกี่ยวกับกลยุทธ์การมีส่วนร่วมของนโยบายสภาพภูมิอากาศ คำนวนจากแบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของโลกทั้ง 15 เจ้า ใน 7 ภูมิภาค (ออสเตเรีย, ยุโรป, ญี่ปุ่น, อินเดีย, เกาหลีใต้, อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา) มันแสดงให้เห็นว่าแม้แต่ในประเทศที่กฎหมายสภาพอากาศที่สําคัญเพิ่งร่างผ่าน เช่น สหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย ความทะเยอทะยานของนโยบายเหล่านี้อ่อนแอลงเนื่องจากแรงกดดันของอุตสาหกรรม”

โครงการพบว่าเกือบทุกผู้ผลิตรถยนต์ยกเว้น Tesla “สนับสนุนอย่างแข็งขันต่อต้านนโยบายส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างน้อยหนึ่งนโยบาย” (เป็นที่น่าสังเกตว่าแม้แต่ Elon Musk ก็พูดต่อต้านเรื่องเงินอุดหนุนและนโยบาย รถ EV บางอย่าง ถือเป็น “พฤติกรรมที่ไร้เหตุผล” มากกว่า “สนับสนุนอย่างแข็งขัน” ต่อบางสิ่ง

ด้วยความเป็นห่วงต่อผู้ผลิตรถยนต์เหล่านี้ว่าจะไม่เพียงแค่เริ่มปฎิเสธรถยนต์ไฟฟ้า แต่อาจจะเป็นการต่อต้านอย่างหนักหน่วงในอนาคตได้

“10 ใน 15 แสดงให้เห็นถึงความเข้มข้นของอัตราการเข้าร่วมโครงการ และทำคะแนนได้เพียง D หรือ D+ เท่านั้น ต่อหลักการของทาง InfluenceMap Toyota เองก็ทำคะแนนได้น้อยมาก ๆ สำหรับการวิเคราะห์นี้ ขับเคลื่อนในทิศตรงกันข้ามสำหรับกฎการผลักดันรถยนต์แบตเตอรี่ไฟฟ้าในหลาย ๆ ภูมิภาค อย่างสหรัฐอเมริกา, ออสเตเรีย และอังกฤษ จากการวิเคราะห์ของผู้ผลิตรถยนต์เหล่านี้ มีเฉพาะ Tesla เท่านั้นที่สามารถ (ทำคะแนน B ได้) พบว่ามีการสนับสนุนด้านสภาพอากาศเชิงบวกที่สอดคล้องกับนโยบายตามหลักวิทยาศาสตร์”

ทำให้ไม่แปลกใจว่า Toyota เลยเด่นออกมาจากคะแนนที่น้อย บริษัทลดนโยบายผลักดันรถ EV ในสหรัฐอเมริกา  Toyota พยายามผลักดันรถยนต์ hybrid (และยังคงดันอยู่) แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจว่าทางแบรนด์ได้ต่อต้านขั้นถัดไปของการส่งเสริมเรื่องสภาพอากาศที่ดีขึ้นจากการวิวัฒนาการของยานยนต์ ถือเป็นการยึดมั่นในความเป็นผู้นํามากกว่าที่คิดจะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ สําหรับยุคใหม่ อย่างไรก็ตาม ในขั้นตอนนี้ มันแปลกประหลาดจริง ๆ ที่โตโยต้ากําลังดําเนินการในลักษณะนี้

ภาพรวมของผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น ถือว่าอยู่ในอันดับท้าย ๆ ของการให้คะแนนเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า (ในหลาย ๆ ด้าน)

“InfluenceMap ได้รายงานว่าทั้งได้พบผู้ผลิตรถยนต์ได้เตรียมการสำหรับการก้าวผ่านในยุครถยนต์ไฟฟ้า และก็มีบางรายต่อต้านโดยสิ้นเชิงเช่นกัน ผู้ผลิตรถยนต์ที่มีคะแนนต่ำสุด 3 รายตามการมีส่วนร่วมของนโยบายสภาพภูมิอากาศล้วนเป็นแบรนด์ญี่ปุ่น (Toyota, Honda และ Susuki) โดยมีกลยุทธ์การสนับสนุนระดับโลกที่ส่งเสริมนโยบายมุ่งเน้นหนักไปทางยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วย ICE รวมถึงไฮบริด 4 บริษัทที่มีการคาดการณ์การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าต่ำที่สุดในปี 2030 ก็มาจากญี่ปุ่นเช่นกัน Suzuki ที่ 10%, Honda ที่ 24%, Toyota ที่ 29% และ Mazda ที่ 30%”

สิ่งนี้มาจากการมุ่งเน้นแบบไฮบริดที่ระบุไว้ข้างต้น และส่วนหนึ่งมาจากรัฐบาลและอุตสาหกรรมยานยนต์ของญี่ปุ่นที่หมกมุ่นอยู่กับยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยไฮโดรเจน

InfluenceMap เน้นย้ำว่าความพยายามต่อต้านรถ EV ในอุตสาหกรรมเหล่านี้ มักมาจากสมาคมอุตสาหกรรมมากกว่าที่จะมาจากผู้ผลิตรถยนต์โดยตรง ซึ่งป้องกันพวกเขาเล็กน้อยจากการเผยแพร่ฟันเฟืองที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ (มันดูไม่ดีเลยที่จะเป็นหน้าตาของยานยนต์ที่เป็นผลกระทบให้ต่อภาวะโลกร้อนทั่วโลก)

ตัวอย่างเช่น Down Under เป็น Federal Chamber of Automotive Industries (FCAI) ที่สนับสนุนมาตรฐานประสิทธิภาพยานพาหนะใหม่ของออสเตรเลียอย่างเข้มข้น และเห็นได้ชัดว่ามีประสิทธิภาพ ทําให้การลดการปล่อยมลพิษในปี 2029 ลดลงจาก 60% เป็น 50% ที่นี่ในสหรัฐอเมริกา Alliance for Automotive Innovation ได้วิ่งเต้นเพื่อต่อต้านมาตรฐานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในลักษณะเดียวกัน

สิ่งที่น่าสนใจก็คือหากดูความคาดหวังในการเข้าสู่ยุคโมเดลไฟฟ้าภายในปี 2030 จะมี 2 บริษัทที่นำอยู่ในการทำยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดอเมริกา คือ BMW และ Mercedes ที่ถือว่ากำลังพยายามควบคุมการปล่อยมลพิษเพื่อลดภาวะโลกร้อนได้รองมาจาก Tesla

ทั้ง 3 บริษัทเหล่านี้จากทั้งหมด 15 ถือว่า “มีการคาดการณ์ว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะมีสัดส่วนกี่ % สำหรับรถของแบรนด์ภายในปี 2030 เพื่อให้ตรงกับข้อกำหนดขององค์กรพลังงานระหว่างประเทศ ว่าต้องมีอัตราส่วนให้ได้ มากกว่า 66% สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (Battery Electric (BEV), Fuel Cell (FCEV) และ plug-in hybrid (PHEV)) คิดจากการวิเคราะห์ของ InfluenceMap ในปี 2024”

ส่วนภาพรวมของคะแนนดังนี้ Tesla เกรด B, Ford เกรด C, GM เกรด C, Volkswagen Group​ เกรด C-, และ Mercedes เกรด C-

เรื่องสุดท้าย InfluenceMap เน้นย้ำ อาจจะเป็นการยากที่จะทำให้ทิศทางโครงการนี้ไปได้อย่างถูกต้อง เนื่องจากขนาดของยานพาหนะก็มีผลมาก ๆ  ผู้คนยังคงอยากที่จะซื้อยานพาหนะที่ใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น ผู้ผลิตรถยนต์ยังคงพยายามสร้างยานพาหนะใหญ่ขึ้นเช่นกัน และผู้ผลิตรถยนต์บางเจ้าเลิกใช้รุ่นที่เล็กกว่า แต่ผู้ผลิตรถยนต์หลาย ๆ เจ้ากําลังพยายาม “ผลักดันกฎระเบียบที่ส่งเสริมยานพาหนะขนาดใหญ่”

รถยนต์ขนาดใหญ่สามารถสร้างกำไรที่มากให้กับผู้ผลิตรถได้มากกว่า น่าเสียดายเพราะหมายความว่ารถคันใหญ่ก็จะเผาน้ำมันส่งมลพิษออกมามากเช่นกัน ส่งผลต่อมลพิษและภาวะโลกร้อนโดยตรง แม้จะเป็นเคสของรถยนต์ไฟฟ้าก็ตาม ก็จำเป็นต้องผลิตแบตเตอรี่ขนาดใหญ่นั้นเอง ผลคือมลพิษมากกว่าและต้องทำการขุดหาวัตถุดิบการผลิตมากขึ้น มากกว่านั้นตัวรถก็อาจจะจัดการพลังงานไฟฟ้าได้ไม่ดีสำหรับรถคันใหญ่เช่นกัน

สุดท้ายนี้ ถือว่ายังดูไม่ดีนัก อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้ากำลังมาเพื่อช่วยลดเรื่องของมลพิษ แต่บางอุตสาหกรรมยังคงทำเหมือนเดิม ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังอย่างยิ่ง

ที่มา : Cleantechnica

แสดงความคิดเห็น

เขียนโดย Nuttanon P.