ใน ,

Formula E Gen 3 EVO ใหม่ ขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD อัตราเร่งไวกว่า F1

Formula E Gen3 EVO เป็นรถที่แรงที่สุดที่ทาง Formula E เคยพัฒนามา อีกทั้งยังมีอัตราเร่งแรงกว่า F1 มาดูกันครับว่าการพัฒนาเจนนี้มีอะไรบ้างที่เป็นส่วนผสมทำให้สรรมถนะสูงได้ขนาดนี้

Formula E Gen 3 EVO ใหม่ ขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD อัตราเร่งไวกว่า F1

Formula E ได้เผยรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ “Gen 3 EVO” เป็นการอัปเดตจากรถ Formular E Gen3 ที่ได้เปิดตัวไปช่วงซีซันก่อน ในงาน Monaco E-Prix 2024

รถคันใหม่นี้ได้เริ่มใช้ในงานแล้วในงานล่าสุด Monaco E-Prix 2024 คันนี้เป็นการอัปเดตช่วงกลางของ Gen 3 ที่ได้ใช้แข่งในช่วงซีซันที่ผ่านมา เพราะ Gen 4 จะยังไม่มาจนกว่าจะถึงช่วงปี 2027

Gen 3 ได้เปิดตัวด้วยนิยามที่จะทำให้ตัวรถเบาลงและทรงพลังสูงสุด เหมือน ๆ กันกับรถในเจนเนอร์เรชันก่อน ๆ เพื่อเป็นการสัญญาว่าตัวรถจะสามารถวิ่งได้ไวกว่าในการแข่งขันนั่นเอง

ไม่พอยังได้มีการทดลองการออกแบบให้มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์มากขึ้น จุดที่แตกต่างมากที่สุดก็คือการเพิ่มมอเตอร์ด้านหน้าเข้ามา แต่ตัวมอเตอร์นี้จะถูกใช้สำหรับการเบรคเท่านั้น และตรงกันข้ามกับมอเตอร์ตัวหลังที่จะไม่สามารถเบรคได้ เพราะไม่มีฟริคชั่นเบรค แต่จะเป็นการใช้ Regenerative braking จากมอเตอร์เท่านั้น ที่มีพละกำลังเบรค ทั้งหมด 600kW

แม้ว่า Gen3 ไม่ได้เร็วกว่าก่อนเจนหน้ามากนัก สิ่งนี้มักเกิดขึ้นกับรถแข่งใหม่ เมื่อทีมคุ้นเคยกับการปรับแต่งและใช้งาน แต่ทีมส่วนใหญ่ก็ยังต้องพยายามควบคุมรถที่พลังเพิ่มเติมมาให้อยู่ในการแข่งขันอยู่เสมอ

ในเวลาเดียวกัน หากเปลี่ยนเจนทำให้จำเป็นต้องเปลี่ยนแบรนด์ผู้ผลิตยางด้วยเช่นกัน และยาวใหม่ ๆ จะต้องพิสูจน์ในเรื่องของข้อจำกัดการขับขี่ที่เร็วขึ้นนี้ให้ได้ด้วย

ปัจจุบัน Gen3 หวังที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ในครั้งเดียว ตัวอย่างแบรนด์ยางอย่าง Hankook ที่ได้ให้สติ๊กเกอร์ยางมา (สเปคใหม่เพิ่มการเกาะถนนถึง 5-10% และทำจากวัสดุรีไซเคิล 35%) ที่ช่วยการควบคุมรถที่ไวขึ้นอย่าง Formula E และถือว่ารถ Formula E เป็นรถที่มีการขับเคลื่อนที่เป็นเอกลักษณ์ (ในโลกของรถ Formula) เพราะมอเตอร์หน้าเบรคได้จริง ๆ ไม่ใช่แค่รีเจน ทำให้รถขับเคลื่อนได้สี่ล้อ AWD นั่นเอง

หากสรุปเกี่ยวกับมอเตอร์ตัวหน้าของ Gen3 ก็ทิ้งคำถามให้เราคิดต่อว่ามันเลี่ยงไม่ได้ที่มันจะสามารถทำงานด้านการส่งกำลังได้ด้วยไม่ใช่เพียงแค่เบรคเท่านั้น

ด้วยรถในอดีตที่เคยใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่นั่งเดียว ถือว่าเคยถูกได้นำมาใช้เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น เพราะปัจจุบันรถอย่าง F1 และ IndyCar ก็ขับเคลื่อนเพียงล้อหลังเท่านั้น

AWD ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อถือว่าเป็นที่นิยมมาก ๆ ในรถยนต์บนท้องถนนปัจจุบัน เพราะมันเพิ่มอัตราเร่งได้ดี และความสามารถในการขับเคลื่อน ส่วนรถยนต์ไฟฟ้า ก็ถือว่าเป็นเรื่องง่ายมาก ๆ ที่จะนำ AWD มาใช้งาน เพราะเพียงแค่นำมอเตอร์เข้ามาเพิ่มทั้งสองเพลาและเดินสายเพียงเล็กน้อยก็ใช้งานได้แล้ว แทนที่จะต้องวิ่งเพลาขับและกลไกเกียร์ทั่วทั้งรถ เพื่อการส่งกำลังจากเครื่องยนต์สันดาปเพียงเครื่องเดียวไปยังสองเพลาที่แยกจากกันนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม รถสปอร์ตและรถแข่ง กลับโน้มเอียงไปทางระบบขับเคลื่อนล้อหลังมากกว่า เพราะมันทำให้ตัวรถมีอาการดีดดิ้นและยากต่อการควบคุมมากกว่า เพื่อทั้งเรื่องของอรรถรสและการโชว์สกิลการขับขี่และการอ่านอาการตัวรถที่ต้องเฉียบขาดของนักขับจริง ๆ นั่นเอง

สำหรับ Formula E อนุญาตให้ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อได้เพียงบางสถานการณ์เท่านั้น เช่นในช่วงดวลเพื่อคัดตัว, เริ่มการแข่งขัน และระหว่างช่วงอนุญาตให้ใช้ “Attack Mode” นักขับแต่ละคนจะได้รับการบูทส์พลัง 50kW ในบ้างช่วงของการแข่งขันครับ

สิ่งที่ยังเป็นจุดสังเกตของรถ Gen3 ก็คือ Attack mode ใช้งานยาก เพราะตัวรถให้ความรู้สึกเหมือนว่าจะไม่สามารถนำพลังที่เพิ่มมา 50kW ได้อย่างเหมาะสม แต่ด้วยอานิสงส์ของมอเตอร์ตัวหน้าจะช่วยให้นักแข่งได้รับประโยชน์อย่างมากในการคุมตัวรถ ไม่ว่าจะเป็นการเร่งเข้าหรือออกจากโค้งก็ทำงานได้ดีอย่างชัดเจน

ขณะที่ตัวเลขอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ไม่ได้มีผลอะไรกับรถสำหรับลงแข่ง ง่าย ๆ เพียงเพราะว่าตัวรถไม่มีทางขับหยุดที่ความเร็ว 0 กม./ชม. นั่นเอง มีเพียงแค่ช่วงเริ่มต้นออกตัวในการแข่งขัน หลังจากนั้นการเร่งตัวรถจะไปสำคัญในช่วงการเร่งออกจากโค้ง พร้อมจะช่วยอย่างมากในช่วงทางตรง และช่วงการเร่งออกหากคุณสามารถหาจุดออกได้ดีกว่าคู่แข่ง สำหรับ Gen3 EVO บูสต์ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 1.82 วินาทีเท่านั้น

ตัวเลข 0-100 กม./ชม. นี้ถือว่าไวกว่า F1 ถึง 30% และไวกว่า Gen3 ถึง 36% ต้องขอบคุณมอเตอร์ตัวหน้าที่เพิ่มมาเพราะช่วยดึงตัวรถไปข้างหน้าได้ไวกว่านั่นเอง

เพิ่มเติมคือการออกแบบของรถที่มีการเปลี่ยนแปลง ส่วนของจมูกรถ และปีกหน้าได้ทำการออกแบบใหม่ ที่บางกว่า Gen3 เดิม หลังจากจบซีซันที่ผ่านมาที่รถได้รับความเสียหายมากจากปีกหน้า ดังนั้นเราหวังว่าปีกหน้าของ Gen3 EVO จะแข็งแรงมากขึ้น

Formula E กล่าวว่ารถคันใหม่จะสามารถทำเวลาไวกว่าเดิมได้ 1-3 วินาที ขึ้นอยู่กับสนามและสภาพอากาศ ด้วยระบบ AWD ที่ได้นำมาใช้

ปัจจุบัน ถ้าเราอาจจะได้เห็นการชาร์จไวระดับ 600kW ในช่วงกลางของการแข่งขันที่ทาง Formula E กำลังพยายามพัฒนากันอยู่

Formula E Gen3 EVO ได้นำไปใช้แข่งในซีซันล่าสุดแล้วที่งาน Monaco E-Prix 2024

ที่มา : Formula E

แสดงความคิดเห็น

เขียนโดย Nuttanon P.