ใน , ,

BYD Fang Cheng Bao เปิดตัว Tai 3 SUV รุ่นน้องเล็ก มาพร้อมระบบขับขี่อัจฉริยะ God’s Eye C และโดรนอัจฉริยะ

Fang Cheng Bao แบรนด์ย่อยของ BYD ได้เปิดตัวรถยนต์ SUV รุ่นใหม่ชื่อว่า Tai 3 ซึ่งถือเป็นรุ่นแรกในสายการผลิต Tai ราคาเริ่มต้น 133,800 หยวน หรือประมาณ 606,000 บาท

BYD Fang Cheng Bao เปิดตัว Tai 3 SUV รุ่นน้องเล็ก มาพร้อมระบบขับขี่อัจฉริยะ God’s Eye C และโดรนอัจฉริยะ

Tai 3 เป็นรถรุ่นที่มีราคาถูกที่สุดของแบรนด์ Fang Cheng Bao และเป็นรถรุ่นที่ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์จากรถยนต์ออฟโรด ไปสู่รถ SUV สำหรับครอบครัว

Tai 3 มีให้เลือกทั้งหมด 5 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง (RWD) 2 รุ่น ราคาเริ่มต้นที่ 133,800 และ 139,800 หยวน และรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ (AWD) อีก 3 รุ่น ราคาเริ่มต้นที่ 153,800, 163,800 และ 193,800 หยวนตามลำดับ

โดย Tai 3 รุ่นท็อปสุดนั้นมาพร้อมระบบโดรน BYD Lingyuan ที่พัฒนาร่วมกับ DJI ถูกติดตั้งไว้บนหลังคารถ สามารถเปิดฝาและปล่อยโดรนขึ้นบินได้เมื่อรถจอดนิ่ง หรือวิ่งไม่เกิน 25 กม./ชม. ด้วยการกดเพียงปุ่มเดียว โดรนสามารถบันทึกวิดีโอแบบ 4K ด้วยกล้องคู่ พร้อมระบบตัดต่ออัจฉริยะที่สามารถสร้างคลิปวิดีโอสั้นได้อัตโนมัติ

ราคาของรุ่นพื้นฐานถูกปรับลดลงจากช่วงเปิดพรีออเดอร์เมื่อวันที่ 31 มีนาคม โดยลดลง 6,000 หยวน หรือประมาณ 4.5% ส่วนรุ่นอื่น ๆ อีก 4 รุ่น ก็ถูกปรับลดราคาลง 10,000 หยวนเช่นกัน

Tai 3 เป็นรถ 5 ที่นั่ง มีขนาดตัวถังยาว 4,605 มม. ความกว้าง 1,900 มม. ความสูง 1,720 มม. และมีระยะฐานล้ออยู่ที่ 2,745 มม. น้ำหนักตัวรถโดยประมาณอยู่ที่ 1,995 กก.

รถรุ่นนี้ถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV) รุ่นแรกของ Fang Cheng Bao โดยก่อนหน้านี้อีกสองรุ่นในแบรนด์คือ Bao 5 และ Bao 8 เป็นรถยนต์ไฮบริด (Hybrid)

ดีไซน์ภายใน Fang Cheng Bao Tai 3

ดีไซน์ภายในยึดตามแนวทางของ Fang Cheng Bao มาพร้อมหน้าจออินโฟเทนเมนต์กลางขนาด 12.8 หรือ 15.6 นิ้ว (แล้วแต่รุ่นย่อย) ติดตั้งระบบปฏิบัติการ DiLink 100 ของ BYD รองรับการสั่งงานด้วยเสียง, ระบบนำทางออนไลน์, และอัปเดตซอฟต์แวร์แบบ OTA ทุกรุ่นจะมีหน้าจอแสดงผลหลังพวงมาลัยขนาด 8.8 นิ้ว และบางรุ่นจะมีจอ Head-up Display ขนาด 12 นิ้วอีกด้วย

แผงคอนโซลกลาง มาพร้อมปุ่มควบคุมจำนวนมาก และคันเกียร์ขนาดใหญ่ มีแท่นชาร์จไร้สายสำหรับโทรศัพท์กำลังไฟ 50 วัตต์ ตู้เย็นในรถสามารถทำความเย็นและอุ่นได้ โดยมีช่วงอุณหภูมิระหว่าง -6℃ ถึง 50℃

เบาะหน้ารองรับการปรับด้วยไฟฟ้า มีระบบทำความร้อนและระบายอากาศ เบาะหลังสามารถปรับเอนได้ 2 ระดับ พร้อมพนักวางแขนตรงกลาง ส่วนพื้นที่เก็บของหน้ารถมีความจุ 151 ลิตร และมีช่องเก็บของด้านหลังเพิ่มอีก 28 ลิตร

ระบบส่งกำลังของ Fang Cheng Bao Tai 3

รุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง (RWD) ของ Tai 3 ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 160 kW และแรงบิดสูงสุด 310 Nm  อัตราเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม. ในเวลา 7.9 วินาที

ส่วนรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ (AWD) มาพร้อมมอเตอร์คู่ มอเตอร์หน้ากำลัง 110 kW แรงบิด 200 Nm และมอเตอร์ด้านหลังกำลัง 200 kW แรงบิด 310 Nm อัตราเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม. ได้ใน 4.9 วินาที

แบตเตอรี่ของ Fang Cheng Bao Tai 3

รถทั้ง 5 รุ่นมีระยะทางการขับขี่อยู่ที่ 501 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง แต่แบตเตอรี่ที่ใช้ในแต่ละรุ่นมีขนาดต่างกัน

รุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง (RWD) ใช้แบตเตอรี่ความจุ 65.28 kWh ส่วนรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ (AWD) 2 รุ่นใช้แบตเตอรี่ความจุ 72.96 kWh และรุ่นท็อปสุดใช้แบตเตอรี่ขนาด 78.72 kWh

Tai 3 รองรับการชาร์จสูงสุดที่กำลังไฟ 237 kW สามารถชาร์จจาก 30% – 80% ภายในเวลาเพียง 18 นาที

รถทุกรุ่นมาพร้อมระบบขับขี่อัจฉริยะ God’s Eye C ของ BYD มาพร้อมกล้อง 12 ตัว เรดาร์คลื่นมิลลิเมตร 5 ตัว และเรดาร์อัลตราโซนิก 12 ตัว รวมแล้วสามารถรองรับฟังก์ชันช่วยขับขั้นสูงได้มากกว่า 30 ฟังก์ชัน เช่น ระบบช่วยจอด หลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวาง และการขับขี่อัตโนมัติบนทางหลวง (NOA)

จากแนวคิด Super 3 มาสู่เวอร์ชันผลิตจริง Tai 3

เมื่อย้อนกลับไปวันที่ 16 เมษายน 2024 ในงานเปิดตัวฤดูใบไม้ผลิที่เมืองเซินเจิ้น Fang Cheng Bao ได้เปิดตัวแนวคิดรถ 2 รุ่น ได้แก่ Super 3 SUV และ Super 9 ซูเปอร์คาร์

ซึ่ง Tai 3 นี้คือเวอร์ชันผลิตจริงของรถแนวคิด Super 3 และเป็นรุ่นที่ 3 ของแบรนด์ Fang Cheng Bao ต่อจาก Bao 5 และ Bao 8 ที่เป็นรถ SUV สไตล์ออฟโรด (Hybrid)

การตั้งชื่อเวอร์ชันผลิตจริงว่า Tai 3 นั้น แสดงถึงการเปลี่ยนกลยุทธ์ของแบรนด์ จากเดิมที่ตั้งชื่อว่า Bao 3 และได้เข้าสู่รายการลงทะเบียนของกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีน (MIIT) เมื่อเดือนมิถุนายน 2024 ต่อมาในเดือนธันวาคม 2024 Fang Cheng Bao ได้ยื่นคำขอลงทะเบียนใหม่อีกครั้ง พร้อมประกาศเปลี่ยนชื่อรุ่นเป็น Tai 3

เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2024 แบรนด์ได้ประกาศเปิดตัวสายผลิตภัณฑ์ใหม่ในชื่อ Tai ซึ่งถือเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักลำดับที่ 2 ต่อจากสาย Bao

คำว่า Tai แปลตรงตัวว่า ไทเทเนียม โดยซีรีส์นี้จะเน้นการออกแบบสำหรับครอบครัว แต่ก็ยังมีความสามารถในการขับขี่ลุยแบบออฟโรด ต่างจากสาย Bao ที่ใช้โครงสร้าง Body-on-frame ซึ่งเหมาะสำหรับขับออฟโรด ส่วนสาย Tai จะใช้โครงสร้างแบบ Unibody ที่เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวันมากกว่า

Tai 3 ถูกสร้างบนแพลตฟอร์มไฟฟ้าอัจฉริยะ Platform 3.0 Evo+ ของ BYD มาพร้อมมอเตอร์ความเร็วสูง 20,000 รอบ/นาที และระบบ iATS (intelligent All Terrain System) ซึ่งสามารถปรับโหมดการขับขี่อัตโนมัติตามสภาพถนน เช่น หญ้า ทราย โคลน หรือหิมะ

นอกจากนี้ยังมีระบบ TSC ซึ่งช่วยควบคุมเสถียรภาพกรณียางระเบิด โดยยกล้อที่มีปัญหาขึ้น ทำให้ล้ออื่นสามารถขับเคลื่อนได้อย่างอิสระ ทำให้รถยังวิ่งต่อได้ที่ความเร็ว 80 กม./ชม. ไกลถึง 30 กม.

รถรุ่นนี้ยังติดตั้งระบบควบคุมตัวถัง DiSus-C ซึ่งคล้ายกับโช้คอัพแบบปรับแรงดันด้วยระบบไฟฟ้า (CDC) โดยสามารถปรับความหนืดตามสภาพถนนได้อย่างแม่นยำ

ในปี 2024 ทั้งปี Fang Cheng Bao มียอดขายรวม 56,388 คัน โดยเริ่มส่งมอบรถคันแรกในเดือนพฤศจิกายน 2023

ในเดือนมีนาคม 2025 แบรนด์ขายรถได้ 8,051 คัน เพิ่มขึ้น 126.79% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และเพิ่มขึ้น 62.91% เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2025 ยอดขายสะสมทั้งหมดของแบรนด์อยู่ที่ 81,312 คัน

ที่มา cnevpost, carnewschina

แสดงความคิดเห็น

เขียนโดย Sakura P.