Buick เผยรายละเอียดรถยนต์ไฟฟ้า Electra E4 รถครอสโอเวอร์ไฟฟ้าคูเป้ ที่ถูกพัฒนาขึ้นบนแพลตฟอร์ม Ultium EV ซึ่งเป็นรุ่นที่ 2 ของแบรนด์ Buick โดยตัวเริ่มต้นมาพร้อมขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงตัวเดียว ที่ให้กำลัง 245 แรงม้า มีราคาเริ่มต้นที่ 189,900 หยวน (ประมาณ 9.22 แสนบาท)
เผยรายละเอียด Buick Electra E4 GS ครอสโอเวอร์ไฟฟ้าคูเป้ รุ่นพิเศษ พร้อมระบบขับเคลื่อน AWD ให้พละกำลัง 287 แรงม้า
Buick เป็นแบรนด์รถยนต์ภายใต้เครือ SAIC-GM ประเทศจีน เปิดตัวรถอีวี (EV) รุ่นแรกที่ใช้แพลตฟอร์ม Ultium EV คือ Buick Electra E5 ในตลาดประเทศจีน และล่าสุดรถครอสโอเวอร์คูเป้ไฟฟ้าน้องใหม่ล่าสุด โดยใช้ชื่อรุ่นว่า Buick Electra E4 โดยรถยนต์ไฟฟ้าตัวใหม่นี้เป็นรถ EV ที่ถูกพัฒนาขึ้นบนแพลตฟอร์ม Ultium EV รุ่นที่ 2 ที่ต่อมาจาก Buick Electra E5
Buick ออกแบบให้ Electra E4 มีแนวทางของเส้นสายในรูปแบบ “ พรีเมียมและสปอร์ต ” และได้แรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากรถต้นแบบ Electra-X Concept โดยเฉพาะรูปทรงของไฟหน้าที่มีความเพรียวบาง เช่นเดียวกับกระจังหน้าขนาดใหญ่บริเวณด้านล่าง พร้อมกับเส้นขอบฝากระโปรงหน้าแบบเฉียบคมสไตล์ Buick รุ่นใหม่ๆ
ดีไซน์ภายนอก
- มิติตัวรถ (ย x ก x ส) : 4,818 x 1,912 x 1,581 มม.
- ระยะฐานล้อ : 2,954 มม.
- ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน cd = 0.287
ภายนอกจะถูกออกแบบให้ดูพรีเมียมและสปอร์ต ด้านหน้ามาพร้อมกระจังหน้าขนาดใหญ่ที่มีดีไซน์เพชรคริสตัลสีดำแบบปิดทึบ กระจกมองข้างสีดำเงา พร้อมตกแต่งด้วยคิ้วโครเมียมที่เป็นรูปตัว L บริเวณด้านข้างกระจังหน้า ขณะที่ชุดไฟหน้าแบบแยก 2 ส่วน ด้านบนจะเป็นไฟ Daytime Running Lights (DRL) ส่วนชุดไฟส่องสว่างจะถูกแยกออกมาวางขนานอยู่กับในส่วนของกันชนหน้า และติดตราโลโก้ใหม่ของแบรนด์ ไว้ที่ด้านหน้าบริเวณใต้ฝากระโปรง ตัวรถมาพร้อมหลังคากระจกแบบ Panorama ขนาดใหญ่ 13 ตารางฟุต (1.2 ตารางเมตร) พร้อมคุณสมบัติการสะท้อนรังสี UV และลดการส่งผ่านความร้อนสู่ห้องโดยสาร
ด้านข้างของตัวรถ จะเห็นว่า มือเปิดประตูถูกซ่อนแบบราบเรียบไปกับตัวรถ พร้อมคิ้วโครเมียมและวัสดุสีดำด้านที่บริเวณชายประตูด้านล่างของประตูทั้ง 4 บาน และเส้นขอบประตูตกแต่งด้วยสีโครเมียม มาพร้อมล้อขนาด 20 นิ้ว และระบบเบรกมาจาก Brembo
ด้านหลังของตัวรถ มาในดีไซน์ท้ายลาดแบบคูเป้ เสริมความสปอร์ตให้กับตัวรถมากขึ้นด้วยสปอยเลอร์หลังคา และเสาอากาศแบบครีบฉลาม ชุดไฟท้าย LED มาในทรงเรียวยาว พาดยาวจากซ้ายไปขวา มาพร้อมกันชนท้ายขนาดใหญ่ ทำให้ดูบึกบึนมากขึ้น
ขุมพลัง
- รุ่นเริ่มต้นมาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัว ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า (FWD) แบตเตอรี่ LFP ความจุ 65 kWh ให้กำลัง 180 kW (245 แรงม้า) และแรงบิด 330 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เพียง 7.6 วินาที วิ่งได้ความเร็วสูงสุด 180 กม./ชม. และสามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุด 530 กม. ตามมาตรฐาน CLTC
- รุ่น GS มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (AWD) แบตเตอรี่ LFP ความจุ 79.7 kWh ให้กำลัง 211 kW (287 แรงม้า) และแรงบิด 465 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เพียง 6.2 วินาที วิ่งได้ความเร็วสูงสุด 180 กม./ชม. และสามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุด 620 กม. ตามมาตรฐาน CLTC
ดีไซน์ภายใน
ภายในออกแบบมาในแนวหรูหราพรีเมียม โดดเด่นด้วยหน้าจอโค้งยาวต่อเนื่องขนาดใหญ่ 30 นิ้ว ที่มีความละเอียดหน้าจอระดับ 6K โดยรวมทั้งหน้าจอแผงหน้าปัดแสดงข้อมูลการขับขี่ และหน้าจอ infotainment เข้าไว้เป็นจอเดียวกัน รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay แบบไร้สาย ทำงานภายใต้ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 8155 มาพร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียง ที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้ขับขี่ที่สามารถสั่งงานได้โดยไม่ต้องละสายตาจากถนน รวมถึงเทคโนโลยีการสื่อสารแบบ 5G และรองรับการอัปเกรดระบบแบบ over-the-air (OTA)
นอกจากนี้ยังมีหน้าจอ head-up display (HUD) ที่สะท้อนขึ้นกระจกด้านหน้า และยังมีไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร หรือไฟ Ambient Light ที่สามารถเลือกได้มากถึง 121 สี และมีแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายมีความจุ 441 ลิตร เบาะหลังสามารถพับได้แบบ 40:60
** ภายในเบาะหนังสีดำ มีระบบอุ่นเบาะ และพวงมาลัยแบบอุ่น มีเฉพาะในรุ่น GS **
ระบบความปลอดภัย
จะได้รับการติดตั้งฟังก์ชันช่วยเหลือการขับขี่ระดับ L2 ที่มาพร้อมระบบต่าง ๆ ดังนี้
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control)
- ระบบควบคุมให้รถอยู่ในเลน (Lane Keeping Assist)
- ระบบเตือนระยะห่างจากรถคันหน้า (Distance Alert)
- ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning)
- ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (Lane Departure Warning)
- ระบบเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Information System)
- ระบบกล้องรอบคัน 360 องศา (360 Degree Camera System)
- ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ (Automatic Parking Assist)
- ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (Automatic Emergency Braking)
- มีเซ็นเซอร์ Ultrasonic ด้านหน้าและด้านหลัง
รอติดตามรายละเอียดการเปิดตัวอย่างเป็นทางการได้ในเดือนกรกฎาคม 2023 นี้
ที่มา – CarScoops