ใน , ,

General Motors (GM) กับ Tesla แถลงความร่วมมือกัน ส่งผลให้ GMC Sierra EV Denali Edition 1 ใช้ Tesla Supercharger ได้

ล่าสุด General Motors (GM) ได้ประกาศความร่วมมือกับ Tesla ในเรื่องการใช้สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Supercharger กับรถ EV ของ GM ได้ในสหรัฐอเมริกา มีผลเริ่มต้นใช้ในปี 2024 เป็นต้นไป และมีรุ่นนึงที่น่าสนใจจาก GM คือ GMC Sierra EV Denali Edition 1 รถกระบะไฟฟ้า 100% มาชมรายละเอียดในบทความนี้ครับ

General Motors (GM) กับ Tesla แถลงความร่วมมือกัน ส่งผลให้ GMC Sierra EV Denali Edition 1 ใช้ Tesla Supercharger ได้

วันที่ 9 มิ.ย. 2023 ทาง General Motors (GM) ได้แถลงความร่วมกับทาง Tesla ในเรื่องการใช้สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Supercharger กับรถ EV ของ GM ได้มีผลเริ่มต้นปี 2024 เป็นต้นไป โดยรถของ GM จะต้องใช้อะแดปเตอร์ในการแปลงจากหัวชาร์จ Tesla Supercharger ซึ่งใช้พอร์ต North America Charging Standard (NACS) ให้เป็นพอร์ตของรถ GM รุ่นนั้น ๆ ส่วนตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป รถยนต์ไฟฟ้าของ GM จะมาพร้อมพอร์ตชาร์จ NACS แบบเดียวกับรถของ Tesla เพื่อจะได้ไม่ต้องใช้อะแดปเตอร์

การประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญที่ทำให้ค่ายรถยักษ์ใหญ่อย่าง GM ที่มีอยู่ในมือหลายแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น Chevrolet, GMC, Cadillac, Buick ต่างจะได้รับประโยชน์จากการใช้ Tesla Supercharger ที่มีอยู่มากกว่า 12,000 แห่งทั่วสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความต้องการการใช้งานรถ EV ในสหรัฐอเมริกามากยิ่งขึ้น

GMC Sierra EV Denali Edition 1

รถกระบะไฟฟ้า GMC Sierra EV Denali Edition 1 เป็นรถกระบะไฟฟ้าคันที่สองของค่าย GMC รองลงมาจาก Hummer EV โดย GM ตั้งเป้าในการวางขายกระบะไฟฟ้า GMC Sierra EV Denali ภายในต้นปี 2024 ในราคาเริ่มต้น 107,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.70 ล้านบาท)

ดีไซน์ภายนอก

ภายนอกตัวรถถูกดีไซน์ ให้ดูพรีเมียมในทุกมุมมอง มาพร้อมกระจังหน้าขนาดใหญ่แบบปิดทึบ โลโก้ GMC แบบเรืองแสงขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง ขนาบข้างด้วยไฟ Daytime Running Light (DRL) LED ที่ถูกดีไซน์ดูคล้ายเลข 7 ส่วนไฟหน้าจะอยู่ใต้ไฟ DRL อีกที มาพร้อมกันชนหน้าขนาดใหญ่ ที่ออกแบบให้มีความเหลี่ยม ที่ดูแข็งแกร่ง

ส่วนฝากระโปรงหน้าดีไซน์ให้มีมิติที่โฉบเฉี่ยว เมื่อเปิดฝากระโปรงหน้าขึ้นมา จะพบพื้นที่เก็บของขนาดใหญ่ มิติบริเวณซุ้มล้อของตัวถังรถ ยังคงมาในสไตล์รถกระบะพันธุ์แข็งแกร่งของทาง GM บริเวณซุ้มล้อถูกตีโป่งพร้อมตกแต่งคิ้วซุ้มล้อด้วยสีดำด้าน เพื่อเสริมกับความพรีเมียมอลังการ ด้วยล้ออัลลอยขนาด 24 นิ้ว พร้อมรัดยางขนาด 35 นิ้ว และติดตั้งบันไดข้างมาให้ด้วย

ส่วนด้านท้ายของตัวรถ มาพร้อมไฟท้ายแบบ LED ใหม่ที่ดีไซน์ให้เป็นเลข 7 เหมือนกับชุดไฟด้านหน้า มาพร้อมฝาท้าย MultiPro Tailgate ที่ปรับเปลี่ยนได้หลายรูปแบบตามการใช้งาน โดยจะสามารถยกขึ้นเพื่อกั้นสิ่งของที่มีความสูงเกือบ 11 นิ้วได้

นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์พิเศษคือ ส่วนประตูกั้นระหว่างห้องโดยสารกับกระบะท้าย สามารถพับลงได้ เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของในส่วนกระบะท้ายได้ เพิ่มจากความยาว 5 ฟุต 11 นิ้ว (ประมาณ 1.8 เมตร) ได้มากถึง 9 ฟุต (ประมาณ 2.4 เมตร) และเมื่อเปิดฝาท้ายกระบะออกมาจนสุดจะมีพื้นที่ความยาวในการเก็บของจะเพิ่มขึ้นอีกเป็น 10 ฟุต 10 นิ้ว (ประมาณ 3.3 เมตร) อีกทั้งในส่วนกระบะท้ายยังติดตั้งช่องจ่ายไฟสำหรับต่ออุปกรณ์ภายนอกได้ โดยจะเป็นช่องเสียบปลั๊ก 120 V จำนวน 2 ช่อง และ 240 V จำนวน 1 ช่อง

ขุมพลัง

ในด้านขุมพลังจะเป็นแบบเดียวกันกับ GMC Hummer EV ที่ใช้แพลตฟอร์ม Ultium ยังได้รับปรับแต่งให้เข้ากับองค์ประกอบโครงสร้างของตัวรถโดยเฉพาะ ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่ง ความทนทาน และสมรรถนะโดยรวมให้ดีขึ้น การวางแบตเตอรี่ยังทำให้จุดศูนย์ถ่วงของรถต่ำลง เพิ่มเสถียรภาพที่ดีขึ้นและการขับขี่ที่มั่นใจยิ่งขึ้น

มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ขับเคลื่อน 4 ล้อ (e4WD) ที่ให้พละกำลัง 754 แรงม้า แรงบิด 1,064 นิวตันเมตร (เมื่อใช้ในโหมด Max Power) ทำให้อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ไม่เกิน 4.5 วินาที และมีพละกำลังในการลากจูงได้ถึง 4,309 กก. รวมถึงสามารถบรรทุกน้ำหนักได้ 590 กก.

มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 24 โมดูล (ไม่ระบุขนาดแบตเตอรี่) สามารถวิ่งได้ระยะทาง 640 กม. (ตามมาตรฐานของ GMC) ความสามารถในการชาร์จแบบ 800 V รองรับการชาร์จแบบ DC ได้สูงสุด 350 kW ซึ่งตามที่บริษัทบอก จะสามารถวิ่งได้ 160 กม. ด้วยการชาร์จไฟเพียง 10 นาทีเท่านั้น นอกจากนี้ยังรองรับการชาร์จแบบ AC ขนาด 10.2 kW ได้ด้วย

สำหรับระบบช่วงล่างจะเป็นแบบ Air Ride Adaptive Suspension หรือเรียกว่าช่วงล่างระบบถุงลม ที่ช่วยเพิ่มความสบายในการขับขี่ ในขณะเดียวกันก็จะช่วยให้เจ้าของรถ สามารถปรับสูง-ต่ำได้ ประมาณ 2 นิ้ว มาพร้อมฟังก์ชัน CrabWalk สามารถช่วยให้หักพวงมาลัยเลี้ยวได้พ้น เมื่อเจอช่องทางแคบ โดยระบบนี้จะปรับองศาของล้อหน้า-ล้อหลัง ให้หมุนไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้รถเคลื่อนตัวได้ในแนวทแยงมุมแบบปูเดิน ซึ่งฟังก์ชันนี้จะใช้ได้ในความเร็วต่ำเท่านั้น เพื่อความปลอดภัย

ดีไซน์ภายใน

ภายในห้องโดยสารมีความกว้างขวาง มาพร้อมหน้าจอสัมผัส infotainment ขนาด 16.8 นิ้ว ซึ่งเป็นหน้าจอที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในรุ่น Sierra มีหน้าจอ Head-up Display ขนาด 14 นิ้ว ส่วนหน้าจอแสดงผลหลังพวงมาลัยมีขนาด 11 นิ้ว มีแป้นหมุนตรงกลางของหน้าจอ infotainment ใช้ควบคุมระดับเสียงและเชื่อมต่อด้วยปุ่มกดจริงๆแบบอนาล็อกที่ด้านล่าง ซึ่งปรับแต่งเป็นปุ่มทางลัดได้ และสามารถอัปเดตได้อย่างง่ายดายผ่านการอัปเดตแบบ Over-the-Air (OTA)

ภายในห้องโดยสารได้รับการตกแต่งให้ดูหรูหรามาพร้อมกับความหรูหราและไฮเทคของชุดอุปกรณ์ภายใน คอนโซลหน้า และคอนโซลกลางถูกตกแต่งด้วยลวดลายไม้ และวัสดุโครเมียม พร้อมมีที่ชาร์จไร้สาย สามารถเลื่อนเปิดปิดเพื่อเก็บของได้ อีกทั้งยังปั้มตราชื่อรุ่น  Denali ” ไว้ที่มุมคอนโซลหน้าฝั่งผู้โดยสาร

เบาะที่นั่งถูกหุ้มด้วยหนังสีดำ พร้อมปักตราชื่อรุ่น Denali ” ไว้ที่พนักพิงศีรษะ มาพร้อมระบบปรับด้วยไฟฟ้า และระบบทำความร้อน พร้อมมีการระบายอากาศในตัว เบาะที่นั่งแถวหลังสามารถพับราบเรียบได้ ระบบเสียงคุณภาพจาก Bose ปิดท้ายความหรูหราด้วยหลังคาแบบ Panoramic Fixed Glass ขนาดใหญ่ ที่เคลือบสารกันอินฟราเรดและสารกัน UV ช่วยให้ห้องโดยสารสะดวกสบาย

สิ่งอื่นๆที่น่าสนใจ

  • Power Station Pro onboard ทำให้รถกระบะไฟฟ้า Sierra EV Denali Edition 1 เป็นแหล่งพลังงานแบบเคลื่อนที่กำลังสูง โดยให้พลังงานแบบ off-board สูงถึง 10.2 kW ตัวรถมีช่องจ่ายไฟ 10 ช่อง รวมถึงเต้ารับ 120 V ใน eTruck (ที่เก็บของด้านหน้า) ด้วย

  • รถคันนี้ยังมาพร้อมกับความสามารถในการชาร์จไฟให้กับรถไฟฟ้าคันอื่นได้ ยังสามารถใช้เป็นแหล่งพลังงานสำรองให้กับบ้านผ่านเทคโนโลยี Ultium Home ของ General Motors โดย GMC ระบุว่ารถคันนี้สามารถจ่ายไฟให้กับสิ่งจำเป็นในบ้านได้นานถึง 21 วัน

ทั้งนี้ ถือเป็นก้าวที่สำคัญของ GM และ Tesla ครั้งนี้จะเป็นการกระทุ้งวงการรถยนต์ครั้งใหญ่ที่จะให้หันมาพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจังและนับจากนี้รอติดตามชมกันว่าหลังดีลใหญ่นี้เกิดขึ้นจะมีแบรนด์อื่น ๆ ทำตามด้วยหรือไม่ นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว

ที่มา – GMC และ electrek

แสดงความคิดเห็น

เขียนโดย Sahakrit S