Formula 1 (F1) ได้ยืนยันอย่างเป็นทางการว่าจะใช้เชื้อเพลิงยั่งยืน (100% Sustainable Fuel) ตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon Emission) ภายในปี 2030
Formula 1 ยืนยันใช้เชื้อเพลิงยั่งยืน 100% ตั้งแต่ปี 2026 มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ปี 2030 เหมือน e-Fuels ของ Porsche
เชื้อเพลิงใหม่นี้ถูกพัฒนาร่วมกันระหว่าง F1, FIA และ Aramco ผู้จัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงรายปัจจุบัน โดยมีเป้าหมายไม่เพียงแค่ใช้ในสนามแข่ง แต่ยังสามารถนำไปปรับใช้กับรถยนต์ทั่วไปในอนาคต
กฎข้อบังคับด้านเครื่องยนต์ใหม่ที่จะมีผลในปี 2026 จะเป็นจังหวะเดียวกับการกลับมาของ Volkswagen Group ในวงการ F1 ขณะที่แนวทางนี้ก็คล้ายกับ Porsche ที่มุ่งพัฒนาและผลิต e-Fuels สำหรับการแข่งขันในซีรีส์ของตัวเอง
การปฏิวัติเชื้อเพลิงครั้งนี้ได้เริ่มขึ้นด้วยรถ F1 รุ่นใหม่ที่ใช้เชื้อเพลิง “E10” ซึ่งเป็นส่วนผสมของเชื้อเพลิง 90% และเอทานอลหมุนเวียน 10% ในปีนี้ “เอทานอล 10% ที่เราใส่เข้าไปตอนนี้มีความยั่งยืนทั้งหมด” Symonds กล่าว “มีเอทานอลหลายประเภท ซึ่งมีคุณภาพแตกต่างกัน แต่นี่คือเอทานอลสีเขียวที่สะอาดอย่างแท้จริง และมีความยั่งยืน”
Pat Symonds
วิธีการผลิตและประโยชน์
เชื้อเพลิงยั่งยืนของ F1 จะถูกผลิตด้วยเทคโนโลยีที่หลากหลาย เช่น
-
การดักจับคาร์บอน (Carbon Capture)
-
การนำขยะเทศบาล (Municipal Waste) มาใช้
-
การใช้ชีวมวล (Biomass)
ด้วยวิธีนี้จะช่วยชดเชยคาร์บอนที่ถูกปล่อยออกมาระหว่างการเผาไหม้ภายในเครื่องยนต์ F1 โดย FIA คาดว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากถึง 65% และใช้โครงการชดเชยคาร์บอนอื่น ๆ เพื่อให้ถึงเป้าหมาย Net Zero
ความเข้ากันได้ของเครื่องยนต์
เชื้อเพลิงใหม่นี้จะเป็นแบบ “Drop-in Fuel” หมายความว่า ไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ใด ๆ ก็สามารถใช้งานได้ทันที อีกทั้งยังคงคุณสมบัติด้านความหนาแน่นพลังงาน เทียบเท่าน้ำมันเชื้อเพลิงออกเทนสูงที่ใช้ในปัจจุบัน
การทดสอบและพัฒนาต่อเนื่อง
ทีมวิจัยของ FIA ได้พัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพคาร์บอนเป็นกลางที่สอดคล้องกับสเปกเครื่องยนต์ F1 มาตั้งแต่ปี 2020 และได้ส่งถังเชื้อเพลิงชุดแรกไปให้ผู้ผลิตเครื่องยนต์ทดสอบแล้ว ปัจจุบันความท้าทายหลักคือการผลิตในระดับอุตสาหกรรม เพื่อรองรับการใช้งานทั้งในสนามแข่ง และด้านลอจิสติกส์
ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอื่น
แม้จะยังมีระยะทางอีกยาวไกลในการทำให้ F1 เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แต่การพัฒนาเชื้อเพลิงยั่งยืนครั้งนี้จะช่วยสร้าง ผลกระทบเชิงบวก ต่ออุตสาหกรรมอื่นที่ยังไม่สามารถใช้พลังงานไฟฟ้าโดยตรง เช่น การเดินทางทางอากาศ และ การขนส่งสินค้าขนาดใหญ่
การริเริ่มของ F1 จึงไม่เพียงช่วยลดการปล่อยคาร์บอนจากการแข่งขัน แต่ยังวางรากฐานสำคัญสำหรับอนาคตของ เทคโนโลยีเชื้อเพลิงยั่งยืน และเปิดทางสู่แพลตฟอร์มเชิงพาณิชย์ในวงกว้างครับ
ที่มา : F1 และ Evo