ใน

ผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา แข่งกันลดต้นทุนรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เนื่องจากแรงกดดันจากผู้ผลิตจีน

ผู้ผลิตยานยนต์หลายแบรนด์ในยุโรปและสหรัฐอเมริกากำลังผลักดันการลดต้นทุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่างหนัก เพื่อให้รถยนต์ไฟฟ้าที่วางขายสามารถทำราคาแข็งขันในตลาดและมีอัตรากำไรคล้ายกับรถยนต์น้ำมัน ท่ามกลางการแข่งขันจากรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกจากแบรนด์จีน

ผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา แข่งกันลดต้นทุนรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เนื่องจากแรงกดดันจากผู้ผลิตจีน

แบรนด์ยุโรปอย่าง Stellantis และ Renault พยายามพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าราคาไม่แพง ส่วนแบรนด์ยักษ์ใหญ่ของอเมริกาอย่าง General Motor และ Ford ก็พยายามหาพันธมิตรที่ช่วยลดต้นทุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้ โดยเฉพาะแบตเตอรี่

ภาพเรนเดอร์ Renault 5 

แรงผลักดันที่ทำให้ผู้ผลิตยานยนต์เร่งลดต้นทุน เพื่อพัฒนารถยนต์ราคาไม่แพงมากขึ้นนั้นมาจากรถยนต์ไฟฟ้าจีนที่มีราคาถูกและประหยัด โดยเฉพาะแบรนด์ใหญ่ของจีนอย่าง BYD และผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายอื่น ๆ กำลังขยายตลาดไปทั่วโลก เร่งส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าไปยังยุโรปและภูมิภาคอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง

ไม่นานมานี้ BYD ก็ได้พิจารณาสร้างโรงงานรถยนต์ไฟฟ้าในเม็กซิโก เพื่อเป็นศูนย์กลางการส่งออกรถไปยังสหรัฐอเมริกาและภูมิภาคใกล้เคียง สิ่งนี้ทำให้สหรัฐอเมริกาค่อนข้างกังวล จึงทำให้เกิดแรงผลักดันครั้งใหญ่ที่ผู้ผลิตในสหรัฐอเมริกาพยายามลดต้นทุนการผลิต เพื่อทำราคารถยนต์ไฟฟ้าให้เท่าเทียมกับรถยนต์สันดาปในรุ่นเดียวกัน

Luca de Meo ซีอีโอของบริษัทยานยนต์ Renault เผยว่า จากผลการดำเนินงานในปี 2023 พบว่า การลดราคาในกลุ่มรถยนต์ขนาดเล็กนั้นทำได้ง่าย เนื่องจากผู้ผลิตสามารถลดขนาดของแบตเตอรี่ได้ โดยทั่วไปแบตเตอรี่คิดเป็นประมาณ 40% ของต้นทุนรถยนต์ไฟฟ้า แต่ถ้าหากแบตเตอรี่มีขนาดใหญ่ ต้นทุนก็จะสูงขึ้นตามด้วย

ด้าน Ford เองก็กำลังประเมินกลยุทธ์การลดต้นทุนแบตเตอรี่และได้เริ่มจัดตั้งทีมออกแบบรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดโดยเฉพาะ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับ BYD ได้ ก็รอติดตามกันต่อไปว่าผลกระทบจากการขยายตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนนั้น จะทำให้เราได้เห็นแบรนด์ในยุโรปและสหรัฐอเมริกาผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นราคาย่อมเยาเมื่อไหร่ ด้วยการแข่งขันที่ค่อนข้างดุเดือด คาดว่าน่าจะไม่นานเกินรอแน่นอน

ที่มา reuters

แสดงความคิดเห็น

เขียนโดย Sakura P.