ใน ,

ทำไมค่าซ่อมแซมจากการถูกชนของ Tesla ยังคงมีราคาสูงกว่ารถยนต์สันดาป ชมเหตุผลกัน

ในปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อย ๆ และหลายคนคงจะเห็นว่าค่าซ่อมแซมรถยนต์ไฟฟ้าจากการชนนั้นมีราคาค่อนข้างแพง โดยเฉพาะ Tesla เรามาชมกันว่าสาเหตุที่ทำให้การซ่อมแซมแพงนั้นมีอะไรบ้าง

ทำไมค่าซ่อมแซมจากการถูกชนของ Tesla ยังคงมีราคาสูงกว่ารถยนต์สันดาป ชมเหตุผลกัน

ข้อมูลจาก Mitchell บริษัทที่ให้บริการซอฟต์แว์จัดการซ่อมแซมการชน เผยค่าซ่อมโดยเฉลี่ยของ Tesla ในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2023 อยู่ที่ 5,552 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์อื่นที่ไม่ใช่ Tesla อยู่ที่ 4,474 ดอลลาร์สหรัฐฯ และรถยนต์สันดาปอยู่ที่ 4,205 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูลในสหรัฐอเมริกา)

เมื่อเทียบค่าซ่อมจากข้อมูลดังกล่าวแล้ว เห็นได้ว่า Tesla มีค่าซ่อมเฉลี่ยสูงกว่ารถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์อื่นและรถยนต์สันดาป

หนึ่งสาเหตุที่ทำให้การซ่อมแซมการชนของ Tesla มีค่าใช้จ่ายสูงก็คือ Tesla เป็นรถยนต์ที่ใหม่และมีราคาสูงกว่ารถยนต์สันดาปทั่วไป โดยรถยนต์สันดาปที่วิ่งบนท้องถนนเฉลี่ยแล้วเป็นโมเดลปี 2016 ในขณะที่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ส่วนใหญ่เป็นรถรุ่นโมเดลปี 2022 และส่วนมากก็เป็นกลุ่มรถยนต์หรู ซึ่ง Tesla นั้นก็ครองตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั้งกลุ่มรถยนต์หรูและรถยนต์ไฟฟ้าทั่วไปในสหรัฐอเมริกา

และอีกหนึ่งเหตุผลก็คือ รถยนต์ไฟฟ้า Tesla มีคุณสมบัติด้านความปลอดภัยและเทคโนโลยี ทำให้การเปลี่ยนอะไหล่หรือซ่อมแซมนั้นมีราคาแพง ถึงแม้ว่าจะเกิดการชนเพียงเล็กน้อย หากอะไหล่เหล่านั้นได้รับผลกระทบก็ต้องมีการซ่อมแซม

Ryan Mandell ผู้อำนวนการฝายการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนของ Mitchell อธิบายเพิ่มเติมว่า รถยนต์เหล่านี้มีคุณสมบัติด้านเทคโนโลยีความปลอดภัยและเทคโนโลยีรถยนต์เชื่อมต่อแบบดิจิทัลระดับแนวหน้า เมื่อเกิดการชนกัน จึงส่งผลต่อเทคโนโลยีเหล่านี้ เช่น รถอาจจะถูกชนที่มุมซ้ายหน้าจนไปกระทบต่อเซ็นเซอร์การเตือนการออกนอกเลนด้านหลังขวา เมื่อนำรถไปซ่อมก็อาจจะต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนนั้นด้วย หรือจำเป็นต้องมีการปรับเทียบใหม่

นอกจากนี้ Mitchell ยังชี้ให้เห็นว่า รถยนต์รุ่นใหม่มีแนวโน้มถูกสร้างขึ้นด้วยชิ้นส่วนวัสดุใหม่มากขึ้น ทำให้การซ่อมแซมต้องใช้ช่างเทคนิคที่มีทักษะสูงขึ้นและมีชั่วโมงการทำงานมากขึ้น จึงส่งผลให้ต้นทุนการซ่อมแพงขึ้นด้วย

ที่มา teslarati

แสดงความคิดเห็น

เขียนโดย Sakura P.