ใน

Nissan Ariya รถยนต์ไฟฟ้า 100% คันแรก เดินทางจากขั้วโลกเหนือสู่ขั้วโลกใต้ สำเร็จแล้ว เป็นระยะทางกว่า 27,000 กม. ใช้เวลาเดินทางร่วม 9 เดือน

คริสและจูเลีย แรมซีย์ (Chris and Julie Ramsey) นักเดินทางที่มีประสบการณ์การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าทางไกล ได้รับคำท้าจาก Nissan ด้วยการนำพา Nissan Ariya รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุด ให้ขับจากขั้วโลกเหนือไปยังขั้วโลกใต้ ระยะทางกว่า 27,000 กม.

Nissan Ariya รถยนต์ไฟฟ้า 100% คันแรก เดินทางจากขั้วโลกเหนือสู่ขั้วโลกใต้ สำเร็จแล้ว เป็นระยะทางกว่า 27,000 กม. ใช้เวลาเดินทางร่วม 9 เดือน

แม้ว่าการขับรถยนต์จากขั้วโลกเหนือไปสู่ขั้วโลกใต้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการยานยนต์ แต่เป็นเรื่องที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก ถ้าเป็นรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป ไม่ใช่เรื่องยากกับการเติมเชื้อเพลิง แต่นี่เป็นสิ่งที่ท้าทายมากที่สุดสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ว่าจะชาร์จที่ไหน

หลังจากตลอดระยะเวลาเดินทางร่วมเกือบ 9 เดือน Nissan Ariya รถยนต์ไฟฟ้า 100% ได้กลายเป็นรถ EV คันแรก ที่ทำภารกิจเดินทางจากขั้วโลกเหนือสู่ขั้วโลกใต้ได้สำเร็จ โดยคริสและจูเลีย แรมซีย์ (Chris and Julie Ramsey) นักเดินทางที่มีประสบการณ์การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าทางไกล

ภารกิจครั้งนี้เรียกว่า “Pole to Pole” หรือ “ขั้วโลกเหนือสู่ขั้วโลกใต้” ซึ่งเป็นความพยายามทลายข้อจำกัดของรถยนต์ไฟฟ้า ที่หลายคนมักจะกังวลเรื่องสถานีชาร์จหรือระยะทางขับขี่ ปัญหาเหล่านั้นจะหมดไป การเดินทางครั้งนี้นำโดยคริสและจูเลีย แรมซีย์ (Chris and Julie Ramsey)

โดยทั้งคู่เริ่มออกเดินทางจากขั้วโลกเหนือในเดือนมีนาคม 2023 ตัวรถของ Nissan Ariya ได้รับการดัดแปลงเพื่อภารกิจครั้งนี้ จาก Arctic Trucks บริษัทไอซ์แลนด์ที่เชี่ยวชาญในการเตรียมรถยนต์สำหรับสภาพอากาศที่ยากที่สุดในโลก

Nissan Ariya ได้รับการตกแต่งเพิ่มเติมให้เหมาะกับการลุยพื้นที่หนาวจัดและเต็มไปด้วยหิมะ อาทิเช่น ปรับช่วงล่างให้ยกสูงขึ้นเพื่อใส่ยางออฟโรด BFGoodrich ขนาด 39 นิ้วได้ ซึ่งเป็นยางขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยติดตั้งกับรถยนต์ไฟฟ้า การติดตั้งบังโคลนขนาดใหญ่ให้ครอบคลุมกับขนาดยางที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง รวมถึงการตรวจเช็คสภาพโช้คให้พร้อมทำงานในสภาพภูมิประเทศขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้

Arctic Trucks เรียกชุดแต่งในการดัดแปลงครั้งนี้ว่า “AT39” แต่ตลอดการเดินทาง ทั้งคู่ได้ตั้งชื่อใหม่สำหรับ Nissan Ariya ของพวกเขาว่า “Sonrisa” (ในภาษาสเปนแปลว่า รอยยิ้ม)

ชีวิตการเดินทางจากขั้วโลกเหนือสู่ขั้วโลกใต้

จุดเริ่มต้นของภารกิจดังกล่าว เป็นภารกิจที่เร่งด่วนได้รับความท้าทายอันยิ่งใหญ่จาก Nissan ซึ่งได้รีบนำรถไปยังขั้วโลกเหนือเพื่อเริ่มภารกิจ และขับรถไปตามบนถนนน้ำแข็งขั้วโลกเหนือ แต่ก็ต้องเจออุปสรรคมากมาย ถนนเส้นดังกล่าวปิดกะทันหัน เนื่องจากน้ำแข็งเริ่มละลาย โดยเกิดจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น

 

View this post on Instagram

 

A post shared by Pole to Pole EV (@poletopoleev)

ทั้งคู่ได้เดินทางไปพร้อมกับรถพ่วงที่ติดตั้งกังหันลมขนาดเล็ก น้ำหนักเบา ควบคู่กับแผงโซลาร์เซลล์ ทำหน้าที่ชาร์จรถและใช้ประโยชน์จากภูมิประเทศที่แสงอาทิตย์ค่อนข้างยาวนานนั่นเอง

 

View this post on Instagram

 

A post shared by Pole to Pole EV (@poletopoleev)

การเดินทางผ่านอเมริกาเหนือนั้น เป็นเรื่องที่ค่อนข้างง่าย เนื่องจากบนทางหลวงเส้นหลัก มีที่ชาร์จมากมาย ยกเว้นว่า Ariya มีประสิทธิภาพในระยะทางที่น้อยกว่ามาก หลังจากการดัดแปลง ใส่ยางออฟโรดขนาดใหญ่ บังโคลนขนาดใหญ่ และแร็คหลังคาพร้อมเต้นท์บนหลังคา

การสูญเสียของระยะทางที่วิ่งได้เหล่านี้ ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับพวกเขาเลย แต่เป็นส่วนหนึ่งของข้อความที่ คริส แรมซีย์ ที่อยากจะสื่อว่า พวกเขาสามารถเดินทางจากขั้วโลกเหนือไปยังขั้วโลกใต้ ได้ด้วยระยะทาง 241-321 กม. (จากเดิม ขับขี่ระยะทางสูงสุด 435 กม.ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง)

หลังจากนั้นเดินทางไปยังทวีปใหม่ คือทวีปอเมริกาใต้ โดยเริ่มจากประเทศโคลอมเบีย ในอเมริกาใต้ไม่ค่อยมีโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จรถ EV มากนัก (แม้ว่าตัวแทนจำหน่ายของ Nissan ในประเทศโคลอมเบีย ต้อนรับทั้งคู่เป็นอย่างดี) ในอเมริกาใต้ ทั้งคู่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากหลายประการ รวมถึงที่ชาร์จก็เสีย และถนนที่ไม่ได้ลาดยางยาวเหยียด แต่ภารกิจครั้งนี้ เปิดโอกาสให้ปรับปรุงภูมิภาคในแง่ที่ดีขึ้น ดังนั้น Pole to Pole จึงร่วมมือกับ Enel X เพื่อติดตั้งตู้ชาร์จตามเส้นทางต่าง ๆ

 

View this post on Instagram

 

A post shared by Pole to Pole EV (@poletopoleev)

 

View this post on Instagram

 

A post shared by Pole to Pole EV (@poletopoleev)

ต่อมาทั้งคู่ได้ไปเยี่ยมชมฟาร์มกังหันลม / พลังงานแสงอาทิตย์แบบไฮบริดในประเทศชิลี และเปิดประสบการณ์ทางวัฒนธรรมใหม่ ๆ มากมาย

 

View this post on Instagram

 

A post shared by Pole to Pole EV (@poletopoleev)

 

View this post on Instagram

 

A post shared by Pole to Pole EV (@poletopoleev)

จากนั้นก็ออกเดินทางไปที่แอนตาร์กติกา ถือเป็นบันทึกการเดินทางส่วนท้ายที่ท้าทายที่สุด ทั้งคู่ได้พบกับเพื่อนของพวกเขาจาก Arctic Trucks ซึ่งให้คำแนะนำและสนับสนุนในการเดินทางตั้งแต่ส่วนอาร์กติก และมายังส่วนแอนตาร์กติกาด้วย การสํารวจแอนตาร์กติกไม่สามารถทําได้คนเดียว และ Arctic Trucks ต้องการดูว่าการปรับเปลี่ยนของพวกเขาจะเป็นอย่างไรในสภาวะที่ยากลําบาก

 

View this post on Instagram

 

A post shared by Pole to Pole EV (@poletopoleev)

เราเคยได้ยินว่าสภาพอากาศหนาวเป็นเรื่องที่ท้าทายที่สุด สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า แต่ Nissan Ariya ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สามารถชาร์จรถได้ในขณะที่อุณหภูมิ -30 องศาเซลเซียส หรือต่ำกว่านั้น แต่ต้องสร้างกำแพงหิมะขนาดเล็ก เพื่อป้องกันไม่ให้ลมไปแช่แข็งตัวแบตเตอรี่ในช่วงข้ามคืน

 

View this post on Instagram

 

A post shared by Pole to Pole EV (@poletopoleev)

ทั้งคู่ยังใช้เต้นท์พับได้สำหรับรถยนต์โดยเฉพาะ เพื่อให้รถอบอุ่นขณะจอดรถ ซึ่งช่วยให้การชาร์จเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ บางครั้งพวกเขาก็จอดรถไว้ในเต้นท์ เพื่อแชร์ที่พักในตอนกลางคืน หากสภาพอากาศทำให้การติดตั้งเต้นท์นอนนั้นยากเกินไป

 

View this post on Instagram

 

A post shared by Pole to Pole EV (@poletopoleev)

 

View this post on Instagram

 

A post shared by Pole to Pole EV (@poletopoleev)

จุดที่ทั้งคู่อยู่ใกล้เส้นเมริเดียนที่ 90 องศาตะวันตก มากขึ้น ระดับความสูงในแอนตาร์กติกาจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ขั้วโลกใต้อยู่ที่ 9,300 ฟุต หรือ 2,835 เมตร ซึ่งหมายความว่านอกจากความหนาวเย็นแล้ว การสํารวจยังต้องพบเจออากาศที่บางลงและออกซิเจนน้อยลงอีกด้วย ไม่เพียงแต่สิ่งนี้จะยากต่อร่างกายของมนุษย์ในการสํารวจเท่านั้น แต่รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน ยังมีช่วงเวลาที่ยากลําบากในการใช้งานในสภาพอากาศเหล่านี้ ซึ่งเป็นปัญหา แต่รถยนต์ไฟฟ้า Nissan Ariya ไม่มีปัญหาใด ๆ

 

View this post on Instagram

 

A post shared by Pole to Pole EV (@poletopoleev)

และในที่สุดทั้งคู่ก็มาถึงขั้วโลกใต้ได้สำเร็จ ใช้เวลาเดินทางร่วม 9 เดือน กับระยะทางกว่า 27,000 กม. นับหลังจากเริ่มออกเดินทางจากขั้วโลกเหนือในเดือนมีนาคม ซึ่งระยะเวลา 9 เดือน อาจจะดูเหมือนนาน แต่จริง ๆ แล้ว ทั้งคู่ได้ทำตามแผนที่วางเอาไว้ เพื่อรับมือกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด

 

View this post on Instagram

 

A post shared by Pole to Pole EV (@poletopoleev)

สามารถติดตามการเดินทางของพวกเขาได้ที่ https://poletopoleev.com/

ที่มา – electrek

แสดงความคิดเห็น

เขียนโดย Sahakrit S