รายงานระบุว่า BYD จะส่งมอบระบบขับขี่อัจฉริยะ NOA (Navigate on Autopilot) ให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ทั้งหมดในปี 2025 เพื่อให้ลูกค้าได้เข้าถึงระบบขับขี่อัจฉริยะระดับ L2+ ได้มากขึ้น
BYD จะส่งมอบระบบขับขี่อัจฉริยะ NOA ในรถยนต์ทั้งหมดในปี 2025
BYD ยังคงตามหลังในด้านซอฟต์แวร์ช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง ADAS และในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุนในด้านซอฟต์แวร์มากขึ้น เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในปี 2025
ที่ผ่านมา BYD ร่วมมือกับผู้ให้บริการระบบ ADAS หลายราย เช่น ผู้ผลิตโดรน DJI, Huawei แต่ยังคงเสนอระบบ ADAS ขั้นสูงเฉพาะในรถยนต์ไฟฟ้าบางรุ่นเท่านั้น
แต่ในปี 2025 นี้ บริษัทพร้อมที่จะส่งมอบระบบ ADAS ขั้นสูงที่พัฒนาขึ้นในองค์กรให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ทั้งหมด ตั้งแต่รถรุ่นราคาประหยัด Seagull ไปจนถึงรถแบรนด์หรู YangWang U8 ราคาหลายล้านหยวน
การเปลี่ยนแปลงไปสู่ซอฟต์แวร์ใหม่เริ่มต้นในเดือนกันยายน 2023 ที่ BYD ได้จัดตั้งทีมขับขี่อัจฉริยะ ADAS ปัจจุบันมีพนักงานกว่า 1,300 คน ในเดือนมกราคม 2024 บริษัทประกาศว่าจะลงทุนอีก 100,000 ล้านหยวน สำหรับการพัฒนาระบบ ADAS
ทีมพัฒนาระบบ ADAS ของ BYD ในปัจจุบัน มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาระบบขับขี่อัจฉริยะใหม่ในเมือง (CNOA – City Navigate on Autopilot) และการขับขี่อัจฉริยะบนทางหลวง (HNOA – Highway Navigate of Autopilot)
ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมไม่คาดคิดว่า BYD จะเคลื่อนไหวด้านซอฟต์แวร์ได้เร็วขนาดนี้ ถ้าหาก BYD สามารถส่งมอบระบบ ADAS ได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2025 ก็ถือว่าเป็นการโจมตีแบบสายฟ้าแลบเลยทีเดียว
ในปี 2024 เราเห็นได้ว่ามีการแข่งขันด้านราคาอย่างดุเดือดในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า แต่ในปี 2025 อาจจะไม่ใช่แค่การแข่งขันด้านราคาเพียงอย่างเดียว แต่จะเพิ่มการแข่งขันในด้านเทคโนโลยี ADAS ด้วย ว่าระบบดีแค่ไหนและมีในรถยนต์ราคาไม่แพง
รายงานเผยว่า BYD ได้สั่งซื้อชิปจำนวน 1 ล้านชิ้นจาก Nvidia และ Horizon Robotics คาดการณ์กันว่า BYD จะขายรถได้ 5.5 ล้านคันในปี 2025
รายงานด้านระบบ ADAS จากสื่อจีน 36kr ก่อนหน้านี้ ระบุว่า BYD ติดตั้งกล้อง 7 /11 และกล้องหน้า Three-eye vision ในรถยนต์ไฟฟ้าราคา 100,000 หยวน ซึ่งกำลังดำเนินการกับ MIIT จีน ซึ่งการติดตั้งกล้อง 7/11 นี้หมายความว่า ระบบ ADAS ใช้กล้องทั้งหมด 11 ตัว โดยกล้อง 7 ตัว เป็นกล้องระยะไกล ในขณะที่กล้องอีก 4 ตัวเป็นกล้องมุมกว้างสำหรับจอดรถ
ปัจจุบันระบบ ADAS ของ BYD แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
- DiPilot 100 เป็นระบบ ADAS ระดับเริ่มต้นที่มี มาพร้อมชิปที่มีความเร็วในการประมวลผล 100 tops และมีฟังก์ชัน NOA ระดับเริ่มต้น ขับเคลื่อนด้วยชิป Drive N Orin จาก Nvidia ถึง Journey 5 จาก Horizon Robotics
- DiPilot 300 เป็นระบบ ADAS ระดับกลางที่มีระบบ HNOA ขับเคลื่อนบนทางหลวงกึ่งอัตโนมัติ มี Lidar 1 ตัว และชิป Nvidia Orin X 1 ตัว ความเร็วในการประมวลผล 300 tops
- DiPilot 600 เป็นระบบ ADAS ระดับไฮเอนด์ ที่มีทั้งระบบ HNOA และระบบ CNOA สำหรับการขับขี่ในเมือง มาพร้อม Lidar หลายตัว ให้การขับขี่ระดับ L3 ขับเคลื่อนด้วยชิป Nvidia Orin X 2 ตัว ความเร็วในการประมวลผล 508 tops
ในปี 2025 บริษัทวางแผนเปิดตัวรถ BYD Seagull และรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นอื่น ๆ ที่มาพร้อมระบบ ADAS ขั้นสูงภายในสิ้นปีนี้ โดยมีเป้าหมายให้ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดรองรับคุณสมบัติการขับขี่อัจฉริยะในระดับหนึ่ง
โดยในปี 2024 ฟังก์ชันการขับขี่อัจฉริยะในเมืองมีในเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า BYD ที่มีราคาเฉลี่ยสูงกว่า 200,000 หยวน และในปี 2025 นี้ ฟังก์ชัน NOA (Navigate on Autopilot) จะกลายเป็นมาตรฐานของรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคา 150,000 หยวน ต่อไปในปี 2026 ฟังก์ชันดังกล่าวก็จะกลายเป็นมาตรฐานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าราคา 100,000 หยวน สื่อจีน 36kr เผยข้อมูลโดยอ้างอิงจาก ผู้จัดการบริษัทการขับขี่อัจฉริยะชั้นนำ รอติดตามการเปลี่ยนแปลงกันได้เลย
ที่มา carnewschina