Tesla ได้เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2025 ผลิตรถยนต์ได้กว่า 447,000 คัน ส่งมอบรถยนต์กว่า 497,000 คัน และติดตั้งผลิตภัณฑ์กักเก็บพลังงานไป 12.5 กิกะวัตต์-ชั่วโมง (GWh) ตลอดไตรมาส
Tesla ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2025 ส่งมอบรถทะลุ 4.9 แสนคัน แต่กำไรจากการดำเนินงานลดลง 40%
ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2025 ของ Tesla บริษัทรายงานกำไรต่อหุ้น (EPS) ตามมาตรฐานบัญชีทั่วไป (GAAP) อยู่ที่ 0.39 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 12.79 บาท) และกำไรต่อหุ้นแบบ Non-GAAP อยู่ที่ 0.50 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 16.39 บาท) ต่อหุ้น
นอกจากนี้ Tesla ยังมีรายได้รวม 28.095 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 921.05 พันล้านบาท) และมีกำไรสุทธิตามมาตรฐาน GAAP อยู่ที่ 1.37 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 44.91 พันล้านบาท)
Tesla ได้เน้นย้ำผลลัพธ์สำคัญในไตรมาส 3 ในจดหมายอัปเดต ดังนี้
Tesla ระบุว่าบริษัทยังคงมีผลกำไร โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน (GAAP) 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 52.45 พันล้านบาท), กำไรสุทธิ (GAAP) 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 45.90 พันล้านบาท) และกำไรสุทธิ (Non-GAAP) 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 59.01 พันล้านบาท)
Tesla มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน 6.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 203.26 พันล้านบาท) และมีกระแสเงินสดอิสระ (Free Cash Flow) สูงสุดเป็นประวัติการณ์เกือบ 4.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 131.14 พันล้านบาท)
รายได้รวมของ Tesla เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) มาอยู่ที่ 28.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 921.23 พันล้านบาท) ในขณะที่กำไรจากการดำเนินงานลดลง 40% (YoY) เหลือ 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 52.45 พันล้านบาท)
ซึ่งหมายความว่าในไตรมาส 3 ปี 2025 Tesla มีอัตรากำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 5.8% นอกจากนี้ เงินสด, รายการเทียบเท่าเงินสด และการลงทุน ณ สิ้นไตรมาสของ Tesla อยู่ที่ 41.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,363.81 พันล้านบาท) ณ สิ้นสุดไตรมาส 3
เหตุการณ์สำคัญตลอดไตรมาสที่ 2 ปี 2025
ในอเมริการเหนือ
- เปิดตัว Model 3 และ Model Y รุ่น Standard ซึ่งแต่ละรุ่นมีระยะทางวิ่งมากกว่า 300 ไมล์ (ประมาณ 482 กม.) ราคาเริ่มต้นที่ 36,990 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.21 ล้านบาท) และ 39,990 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.31 ล้านบาท) ตามลำดับ ทำให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
- เปิดตัว Model Y Performance
ใน EMEA (ยุโรป, ตะวันออกกลาง และแอฟริกา)
- Model Y เป็นรถยนต์ที่ขายดีที่สุดใน Norway, Switzerland และ Iceland ตลอดทั้งปีจนถึงปัจจุบัน, ใน Finland สำหรับไตรมาส 3 และใน Netherlands และ Denmark ในเดือนกันยายน
- ผลิต Model Y รุ่นปรับโฉม คันที่ 100,000 ที่ Giga Berlin และเริ่มการผลิต Model Y Performance
- บริษัทกำลังดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อเปิดตัว FSD Supervised (ระบบขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบภายใต้การกำกับดูแล) ใน Europe ซึ่งกำลังรอการอนุมัติตามกฎระเบียบ
ใน APAC (เอเชียแปซิฟิก)
- เปิดตัว Model Y L ใน China ซึ่งเป็น Model Y เวอร์ชันฐานล้อยาวขึ้น พร้อม 6 ที่นั่ง 3 แถว
- ทำสถิติการส่งมอบสูงสุดใน South Korea, Taiwan, Japan และ Singapore และเริ่มส่งมอบ Model Y ใน India
- เปิดตัว FSD Supervised ใน Australia และ New Zealand
- ปัจจุบัน South Korea กลายเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับสามของ Tesla รองจากสหรัฐอเมริกาและจีนเท่านั้น
ด้าน AI Software และ Hardware
- เริ่มปล่อย FSD Supervised เวอร์ชัน 14 (v14) ในเดือนตุลาคม โดยนำโมเดล FSD ส่วนใหญ่ของ Robotaxi มาสู่เจ้าของรถ และปรับปรุงการจัดการสถานการณ์ที่ซับซ้อนหลายอย่าง เช่น การหลีกเลี่ยงเศษซากบนท้องถนน, การให้ทางแก่รถฉุกเฉิน และการเพิ่มตัวเลือกเมื่อถึงที่หมายเพื่อระบุว่า FSD ควรจอดรถที่ไหน
- ขยายทั้งพื้นที่ให้บริการและจำนวนรถสำหรับบริการ Robotaxi ใน Austin และเปิดตัวบริการเรียกรถใน Bay Area
- ประกาศข้อตกลงกับ Samsung เพื่อผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงสำหรับการประมวลผล (inference) และการเทรนด์ AI ใน US และยังได้ขยายความสามารถในการประมวลผลเพื่อฝึกฝน AI เพิ่มเติม ทำให้ Cortex มีกำลังการประมวลผลเทียบเท่า H100 (ชิปประมวลผล) รวม 81,000 ตัว
ซอฟต์แวร์รถยนต์และอื่น ๆ
- แอปพลิเคชัน Robotaxi บน iOS พร้อมให้ทุกคนใน US และ Canada ดาวน์โหลดแล้ว เพื่อเข้าร่วมรายชื่อรอ (waitlist)
- การอัปเดตผ่านระบบ Over-the-air (OTA) นำฟีเจอร์ใหม่ ๆ มาสู่ผู้ใช้
- Grok ผู้ช่วย AI สำหรับรถยนต์ใน North America
- โหมดพลังงานต่ำ (Low Power Mode) เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน (มีประโยชน์เมื่อเดินทาง)
- Light Sync ที่จะซิงค์ไฟตกแต่งภายในรถให้เข้ากับเสียงเพลง
- ผู้ใช้สามารถสั่งอาหารได้โดยตรงจากหน้าจอสัมผัสในรถ ก่อนที่จะไปถึง Tesla Diner ใน Los Angeles
- ผู้ใช้แอป Tesla สามารถระบุปัญหาของรถและวินิจฉัยปัญหาเร่งด่วนเพื่อส่งช่างเทคนิคบริการเคลื่อนที่ (Mobile technicians) ได้แล้ว ทำให้ประสบการณ์การบริการราบรื่นยิ่งขึ้น
แบตเตอรี่, ระบบส่งกำลัง และการผลิต
- ทั้ง Model 3 และ Model Y รุ่น Standard ใช้ชุดแบตเตอรี่และระบบส่งกำลัง (Powertrain) ใหม่ ที่ออกแบบมาเพื่อประสิทธิภาพด้านพลังงานและความคุ้มค่าด้านต้นทุน
- Tesla คาดว่าโรงกลั่นลิเธียม (Lithium refinery) ใน Texas จะเริ่มการผลิตในไตรมาส 4 ปี 2025 และสายการผลิตแบตเตอรี่ LFP ใน Nevada จะเริ่มการผลิตในไตรมาส 1 ปี 2026
ด้านพลังงาน
- มียอดการติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานรายไตรมาสสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา!
- เปิดตัวผลิตภัณฑ์กักเก็บพลังงานสำหรับภาคอุตสาหกรรมรุ่นต่อไป Megablock ซึ่งเป็นแบตเตอรี่แรงดันปานกลาง (Medium voltage) ที่ออกแบบทางวิศวกรรมไว้ล่วงหน้า โดยผสานรวม Megapack 3s จำนวน 4 ตัวเข้าไว้ด้วยกัน
- สถาปัตยกรรมใหม่ที่เรียบง่ายขึ้นนี้ รวบรวมทั้งฮาร์ดแวร์, ซอฟต์แวร์ และบริการไว้ในแพ็คเกจเดียวจนถึงระดับแรงดันปานกลาง ช่วยให้สามารถติดตั้งในระดับสาธารณูปโภค (Utility-scale) ได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการเชื่อมต่อกับกริด (grid) ที่เร็วกว่า และลดความซับซ้อนสำหรับลูกค้า
- จะเริ่มการผลิตที่ Megafactory Houston ในปี 2026 โดยมีกำลังการผลิตสูงถึง 50 GWh ต่อปี
ด้านการบริการและอื่น ๆ
- เพิ่มสถานี Supercharging ใหม่สุทธิมากกว่า 3,500 แห่งในไตรมาส 3 ทำให้เครือข่ายเติบโตขึ้น 18% เมื่อเทียบกับปีก่อน
- เปิดตัวตู้ Supercharger v4 รุ่นแรก ซึ่งมีความหนาแน่นของพลังงาน (power density) มากกว่า V3 ถึง 3 เท่า และรองรับจำนวนหัวชาร์จต่อตู้ได้ 2 เท่า ทำให้มีปริมาณการชาร์จ (throughput) และประสิทธิภาพสูงขึ้น, ต้นทุนต่ำลง และติดตั้งได้เร็วขึ้น
- V4 Superchargers รองรับการชาร์จ 500kW สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และการชาร์จ 1,200kW (1.2 เมกะวัตต์) สำหรับ Tesla Semi ซึ่งช่วยให้รถบรรทุกใน US ใช้เวลาชาร์จเร็วที่สุด