Xpeng ได้เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ MONA M03 ที่มีราคาเริ่มต้น 119,800 หยวน หรือประมาณ 570,000 บาท ทำให้หลายคนตั้งคำว่า Xpeng จะทำกำไรจากรถยนต์รุ่นนี้ได้อย่างไร ล่าสุดซีอีโอของ Xpeng ได้ออกมาเผยเหตุผลแล้ว รวมถึงให้ข้อมูลของรุ่น Max เพิ่มเติม
ซีอีโอ XPENG ตอบคำถาม MONA M03 ราคาเริ่มต้นเพียง 570,000 บาท ทำกำไรได้จริงหรือไม่
MONA M03 รถยนต์ไฟฟ้าทรงแฮทแบ็ก ได้รับการวิจัยและพัฒนาโดย Xpeng มากกว่า 4 ปี พร้อมเงินลงทุนกว่า 4,000 ล้านหยวน จึงทำให้หลายคนสงสัยว่า Xpeng สามารถขายรถยนต์รุ่นนี้ในราคาแสนกว่าหยวนได้อย่างไร
He Xiaopeng ประธานของบริษัท Xpeng ได้ตอบคำถามสื่อว่า “รถยนต์รุ่น MONA M03 สามารถทำกำไรได้ ถึงแม้ว่าราคาขายจะต่ำ” โดยหนึ่งในวิธีหลักที่บริษัทสามารถผลิตรถยนต์ในราคาที่ต่ำได้คือ การโฟกัสในการควบคุมต้นทุนผ่านนวัตกรรมทางเทคโนโลยี
Xiaopeng ได้เน้นย้ำถึงความก้าวหน้าในการจัดการพลังงานของรถยนต์ที่สามารถวิ่งได้ไกลขึ้นด้วยแบตเตอรี่ที่มีขนาดเล็กหรือความจุน้อย สังเกตได้จากรุ่น Max ที่มีน้ำหนักเพียง 1,739 กก. ซึ่งรุ่นนี้มีน้ำหนักมากที่สุดในรุ่นย่อย แต่ก็ถือว่าเบามากสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในรุ่นใกล้เคียงกัน
Xpeng ได้เคลมอยู่แล้วว่า MONA M03 มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานที่ 0.194 cd ต่ำที่สุดในบรรดารถแฮทช์แบ็กไฟฟ้าที่ผลิตจำนวนมาก โดยรถรุ่นนี้สามารถวิ่งระยะทางสูงสุดได้ถึง 620 กม. จากแบตเตอรี่ LFP ขนาด 62.2 kWh
ตามข้อมูลของ Xpeng ระบุว่า การเพิ่มประสิทธิภาพทางเทคนิคดังกล่าว ไม่เพียงแต่ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของรถยนต์เท่านั้น แต่ยังช่วยลดต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน หมายความว่ารถ MONA M03 สามารถตั้งราคาให้แข่งขันกับรถยนต์ไฟฟ้าตลาดได้มากขึ้น
ทางด้าน Yang Guang ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ของ MONA M03 กล่วาว่า เป้าหมายของบริษัทคือการขายรถรุ่นนี้ให้ได้ 10,000 คันต่อเดือน และบริษัทจะเดินหน้าพัฒนารถรุ่นต่อ ๆ ไปด้วย ซึ่งการเปิดตัว MONA M03 ที่ผ่านมา สามารถทำยอดจอง 10,000 คันในเวลา 52 นาที ชี้ให้เห็นว่าเป้าหมายของ Xpeng นั้นมีแนวโน้มที่จะสำเร็จ
เห็นได้ว่า ซีอีโอของ Xpeng ได้ยืนยันแล้วว่า แม้รถยนต์ MONA M03 จะมีราคาที่ต่ำ แต่ทุกรุ่นก็สามารถสร้างกำไรได้อย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้มีรายงานว่าอัตรากำไรขั้นต้นของ Xpeng เพิ่มขึ้นในช่วง 4 ไตรมาสที่ผ่านมา โดยในไตรมาสที่ 2 ปี 2024 ก็ทำกำไรได้สูงถึง 14%
แต่ยอดขายในปีนี้ ตั้งแต่มกราคม – กรกฎาคม 2024 บริษัทขายรถได้เพียง 63,000 คัน คิดเป็น 22.6% ของเป้าหมายประจำปีที่บริษัทตั้งไว้ คาดว่าการเปิดตัว MONA M03 นี้จะช่วยเพิ่มจำนวนยอดขายได้มากขึ้น แต่อาจจะไม่ได้ส่งผลต่อกำไรของบริษัทมากนัก
MONA M03 รุ่น Max พร้อมระบบขับขี่อัจฉริยะ
ส่วนข้อมูลของ MONA M03 รุ่น Max นั้น ในวันเปิดตัว Xpeng เผยว่าจะส่งมอบรุ่นท็อปนี้ช่วงหลังตรุษจีนปี 2025 (ประมาณเดือนกุมภาพันธ์) ซึ่งรายงานเผยว่า ในรุ่น Max นั้นเป็นรุ่นที่มีระบบขับขี่อัจฉริยะ
MONA M03 รุ่น Max ไม่มีการติดตั้งเซ็นเซอร์ LiDAR แต่จะมีกล้องภายนอก 12 ตัว, เรดาห์อัลตร้าโซนิก 12 ตัว และเรดาห์ความยาวคลื่น 3 มม. ทาง Xpeng เผยว่าบริษัทได้สร้างโมเดลรถยนต์อัจฉริยะระดับไฮเอนด์ที่ถูกที่สุดในประวัติศาสตร์ และกล่าวว่ารุ่น Max จะมีความสามารถเหมือนกับรถรุ่นเรือธง X9 (MPV) ที่สามารถจอดรถ ขับผ่านวงเวียน ยูเทิร์น และขับขี่ในสภาพถนนอื่น ๆ ได้ โดยไม่ต้องใช้แผนที่ที่มีความแม่นยำสูง
Xpeng เรียกระบบ Vision ดังกล่าวว่า Eagle Vision คาดว่าจะเปิดตัวครั้งแรกในรถยนต์รุ่น P7+ ที่กำลังจะวางจำหน่ายเร็ว ๆ นี้ และจะขยายความสามารถไปยัง MONA M03 รุ่น Max
Eagle Vision จะทำงานผ่านความแม่นยำของกล้องและระยะการมองเห็น ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับความช่วยเหลือจากความละเอียดของสีจาก Eagle Vision ทำให้ระบบทำงานได้ในสภาพแสงน้อยและในที่ที่มีความแตกต่างของแสงอย่างมาก หรือในสภาพแวดล้อมอื่น ๆ
นอกจากนี้ AI ยังเป็นองค์ประกอบหลักเบื้องหลังของระบบ ลดการใช้พลังงานในการประมวลผลลง 20% เมื่อเทียบกับ XNGP ของ Xpeng เนื่องจากภาพไม่จำเป็นต้องถูกแปลง และจะใช้ข้อมูลในเครือข่ายประสาทเทียมโดยตรง ผลลัพธ์คือ ระบบขับขี่อัจฉริยะล่าช้าลดลง 100 มิลลิวินาที ทำให้ระบบทำงานได้ราบรื่นขึ้นมาก รวมถึงตอบสนองรวดเร็วยิ่งขึ้น
รอติดตามการเปิดตัวระบบ Eagle Vision กันอีกครั้งในรถ Xpeng P7+ ว่าในการขับขี่จริงจะเป็นอย่างไรบ้างถ้าหากระบบขับขี่ได้อย่างชาญฉลาดและแม่นยำใกล้กับระบบ XNGP ก็ถือว่า MONA M03 รุ่น Max เป็นรถที่คุ้มค่าเลยทีเดียว
ที่มา carnewschina